รุ่ยรุ่ยเลือกหนังสือภาพประกอบด้วยตัวเองและนั่งบนม้านั่งพลาสติกเพื่ออ่านมัน
ไม่มีเสียงดังหรือไม่มีเสียงตะโกนขอเครื่องดื่มและเรียกหาขนม
โจวเจ๋อนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์และมองไปที่เธอ
ในเวลานั้นซูชิงหลางก็เข้ามาและเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเหมือนตุ๊กตาลายครามเขาจึงรีบเดินเข้าไปและกอดเธอทันที
“ โย่สาวน้อยน่ารักจัง”
“ขอบคุณพี่สาว.”รุ่ยรุ่ยตอบ
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูชิงหลางเบ่งบานเหมือนดอกเบญจมาศ
ซูชิงหลางมีความสุขมากเขายิ้มจนแก้มแทบจะปริออกจากกัน
โจวเจ๋อมีใบหน้าบึ้งตึงและยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“ ฉันมีธุระจะคุยกับคุณ ออกมาข้างนอกหน่อยได้ไหม” ซูชิงหลางวางเด็กลงและชี้ไปที่โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อเดินตามเขาออกมาด้วยความสงสัย
“ เจ้าของตึกถามเราว่าต้องการที่จะย้ายออกหรือไม่พวกเขาสามารถจ่ายเงินค่ามัดจำรวมทั้งค่าชดเชยให้เราได้”
“ ไม่มีทาง” โจวเจ๋อไม่ต้องการทิ้งช่วงเวลาที่มีความสุขนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะไปเช่าที่อื่นได้แม้ว่าจะได้รับเงินมัดจำคืนแล้วก็ตาม
“ ฉันก็คิดเหมือนกัน” ซูชิงหลางพยักหน้า
“ ถ้าอย่างนั้นครั้งต่อไปที่พวกเขามาผมจะให้คุณเป็นคนคุย?”
“ไม่มีปัญหา.”
“ โอเคแค่นั้นแหละ”
คนสองคนยืนอยู่นอกประตูและจุดบุหรี่สูบก่อนที่จะแยกย้ายกันไป
เมื่อโจวเจ๋อหันกลับเข้ามาในร้านเขาก็พบว่าไม่มีเด็กผู้หญิงอยู่บนม้านั่งพลาสติกขนาดเล็ก หนังสือภาพประกอบวางอยู่บนม้านั่ง
โจวเจ๋อขมวดคิ้วมองขึ้นไปที่บันไดมีรอยของรองเท้าบูทหนังขนาดเล็กปรากฏขึ้น
ร่างของเด็กหญิงตัวเล็กๆปรากฏออกมาครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เธอขึ้นไปสำรวจบนชั้นสอง
‘อะไรกันวะเนี่ย!’
“ ขึ้นไปดูอะไรเหรอ?” โจวเจ๋อถาม
เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหัว“ มันมืดมองอะไรไม่ชัด”
ทันทีที่พูดจบเด็กหญิงตัวน้อยก็เดินลงมาช้าๆจากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อ
เธอตัวเล็กมากแม้ว่าจะใส่เสื้อผ้าหลายชั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอดูตัวโตขึ้นเลย ใบหน้าเล็กๆบอบบางน่ารักจนแทบจะทำให้ผู้คนละลาย
แต่เมื่อโจวเจ๋อคิดถึงลิ้นยาวของเธอมันก็ทำให้เขาหนาวสั่นไปทั้งตัว
“ ลุงหนูจะอ่านต่อ”
เด็กหญิงตัวน้อยอย่างมีเลศนัยนั่งลงบนม้านั่งพลาสติกตัวเล็กอีกครั้งหยิบหนังสือสำหรับเด็กที่มีภาพประกอบขึ้นมาแล้วอ่านต่อด้วยความสนใจ
โจวเจ๋อยืนอยู่ข้างหลังเธอมือของเขาซ่อนอยู่ข้างหลังตัวเอง
‘บีบคอเธอ บีบคอเธอ ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ไม่สามารถแกล้งเป็นคนได้สำเร็จ!’
เสียงนี้ดังขึ้นในใจของโจวเจ๋อ นี่ไม่ใช่เสียงของคนอื่นแต่เป็นเสียงของโจวเจ๋อเอง
เมื่อเทียบกับซูชิงหลางเจ้าของร้านบะหมี่ที่อยู่ถัดไปเด็กหญิงตัวน้อยทำให้โจวเจ๋อรู้สึกหวาดกลัวและขยะแขยงมากกว่านั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นปีศาจที่มีระดับสูงกว่าซูชิงหลางอย่างแน่นอน
ภายนอกของเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก มีเหตุผล ฉลาด มีความรู้ มีความรับผิดชอบเกินกว่าเด็กวัยนี้จะมี
อาจจะเป็นเพราะเธอให้ความรู้สึกที่ดีมากในตอนเริ่มต้น ดังนั้นเมื่อโจวเจ๋อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอความบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวเมื่อคืน มันจึงทำให้เขารู้สึกเกลียดชังเธอเป็นอย่างมาก
เด็กหญิงยังคงมองไปที่หนังสือของเธอราวกับว่าเธอไม่สนใจ โจวเจ๋อที่อยู่ข้างหลังเธอ
โจวเจ๋อจ้องมองเธอแม้กระทั่งเส้นขนอ่อนๆที่หลังคอของเธอก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน
‘บีบคอเธอสิ
ห้ามบีบเด็ดขาด
บีบคอเธอสิ
ทำไม่ได้?’ เสียงยังคงดังอยู่ในใจของเขาไม่หยุด
…………
“ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วขอพักผ่อนก่อนดีกว่า”
ในห้องซูชิงหลางวางจานเย็นและจานร้อนไว้บนโต๊ะเล็กๆรวมทั้งยังมีถ้วยเหล้าอีกสองใบ
ถ้วยใบแรกมีเหล้าเหมาไถอยู่เกือบเต็ม พ่อของเขาชอบเหล้าชนิดนี้มากในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
ส่วนถ้วยอีกใบมีเหล้าขาวอยู่นิดหน่อย ตอนที่แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่เธอไม่ชอบดื่มเหล้ามากนัก ซูชิงหลางก็ไม่ชอบการดื่มของพ่อดังนั้นมันจึงเกิดขึ้นเพียงครั้งคราว
มีเชิงเทียนสองอันที่มุมทั้งสองของโต๊ะเล็กๆและแสงไฟก็พริ้วไหวคล้ายจะดับลงได้ตลอดเวลา
หนังมนุษย์สองแผ่นแขวนอยู่ในตำแหน่งโดยไม่มีลมพัด
ซูชิงหลางดื่มถ้วยของพ่อก่อนจากนั้นค่อยๆจิบถ้วยของแม่
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วพูดกับพ่อแม่ว่า
“ดูสิพ่อมาแย่งกินเนื้อของฉันอีกแล้ว!”
เขาประกบเนื้อหลายชิ้นแล้วกลืนเข้าปาก
ซูชิงหลางจำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อของเขาชอบแกล้งและจับเนื้อที่ถ้วยของเขากินเสมอเมื่อทุกคนกินข้าวร่วมกัน มันทำให้เขาต้องรีบกลืนกินเนื้อทั้งหมดในถ้วยจนท้องอืดเป็นประจำ
นี่เป็นวันแรกของปีใหม่
พ่อแม่ของซูชิงหลางประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวันปีใหม่หลายปีที่แล้ว
เมื่อมาถึงวันปีใหม่สำหรับซูชิงหลางมันหมายความว่าพ่อแม่ของเขาจะกลับมาอีกครั้ง
ซูชิงหลางยิ้มกล่าว:
“ พ่อครับแม่ครับ”
ซูชิงหลางรินเหล้าขาวให้ตัวเองอีกแก้วจากนั้นก็ดื่มมัน
เหล้ารสเผ็ดทำให้ใบหน้าที่บอบบางของเขาเริ่มแดงและอ่อนโยนมากขึ้น
เขาเป็นผู้ชายแต่ไม่มีลักษณะของผู้ชายแม้แต่น้อย แน่นอนว่าในตอนนี้ไม่ใช่สมัยโบราณความยากลำบากในการใช้ชีวิตของเขาจึงไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับสมัยนั้น
แต่แม้ว่าประเทศจีนจะเป็นประเทศใหญ่ เรื่องการบูลลี่เด็กอ่อนแอแบบเขาก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ มันจึงยากที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่มีสุขภาพจิตที่ดี
หลังจากขบคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานานในที่สุดซูชิงหลางก็กล่าวกับพ่อแม่ว่า
“ เมื่อมีโอกาสผมจะลองถามผู้ชายที่อยู่บ้านข้างๆเราว่าเขากลับมาได้ยังไง!”
ซูชิงหลางไม่ได้เมา แต่ปากของเขาส่งเสียงได้ไม่ชัดเจน
หนังมนุษย์สองแผ่นหยุดแกว่งดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีความสุขที่เห็นลูกชายต้องใช้ชีวิตแบบนี้
“ พ่อแม่เป็นครอบครัวเดียวของผมไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตามผมต้องพาพ่อแม่กลับมาให้ได้!”
“ โอ้!”
“ โอ้!”
ตะเกียบสองคู่ตกลงพื้น ซูชิงหลางถือตะเกียบไว้ในมือถึงกับผงะดูเหมือนว่าพ่อแม่ของเขาจะห้ามไว้ แต่เขาส่ายหน้าอย่างหนักแน่นพร้อมกับกล่าวว่า
“ ไม่คราวนี้ผมจะไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ ต่อให้ง้างปากเขาเพื่อให้ได้คำตอบผมก็ต้องทำ!”