ความรู้สึกผูกพันของทหารอาชีพกับกองทัพเมื่อเทียบกับทหารอย่างหม่าลุ่ยที่คิดจะใช้หน้าที่การงานถีบชีวิตตัวเองให้สูงขึ้นย่อมไม่มีทางเหมือนกัน
ในสายตาของพวกคนอย่างหม่าลุ่ย กองทัพเป็นเหมือนที่ให้พวกเขาได้ชุบตัว เขาสามารถเปลี่ยนไปทำงานที่มั่นคงได้หลังจากรับใช้กองทัพอยู่ไม่กี่ปี เขาสอบเป็นข้าราชการไม่ได้ แต่สามารถใช้การเป็นทหารเพื่อบรรลุเป้าหมายได้ จะบอกว่าไม่ผูกพันกับกองทัพเลยก็ไม่ใช่ แต่ก็แค่เส้นทางหนึ่งของชีวิตเท่านั้น
แต่ในสายตาของอวี๋หมิงหลางกับจูขี้บ่น กองทัพเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่แห่งการฝากฝังอนาคตเพื่อพัฒนาประเทศชาติ จำเป็นต้องใช้ทั้งชีวิตปกป้อง เป็นทั้งความฝันและพลังของลูกผู้ชาย
แต่จูขี้บ่นก็เลือกที่จะปลดประจำการ ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่คนที่เขารักกำลังต้องการเขา
“อันที่จริงตอนที่ฉันวิเคราะห์บุคลิก ฉันก็เดาว่าจูขี้บ่นต้องเลือกแบบนี้ แต่พอได้ยินว่าเขาทำจริงๆ ในใจกลับรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก” ตั้งแต่ที่สุ่ยเซียนมาหาเสี่ยวเชี่ยนก็คิดไว้แล้วว่าจูขี้บ่นอาจทำแบบนี้ แอบเสียดายแทนนิดหน่อย
“ผมเชื่อว่าไม่ว่าเขาจะไปอยู่ไหนก็ทำได้ดีแน่นอน วิธีตอบแทนประเทศมีมากมาย ถอดชุดทหารออกแล้วไปโลดแล่นในแวดวงธุรกิจ เวทีนั้นก็ทำให้เขาก้าวหน้าได้เหมือนกัน คนที่เป็นทหารที่ดีได้ไปอยู่ไหนก็ย่อมไม่พลาด”
“งั้นเขาออกมาแล้วทำไมไม่รีบไปหาสุ่ยเซียนล่ะ ปลาอยให้สุ่ยเซียนทำตัวหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่นี่ทำไม” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนสุ่ยเซียนเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว หญิงแกร่งก็ข้ามด่านความรักไปไม่ได้
เบญจมาศอาเหม็ดถูกซ่งชิงอู๋มัดตัวไปแล้ว สัญญาณเตือนภัยของตระกูลทังได้เวลาถูกปิด แล้วทำไมไม่รีบมาพาสุ่ยเซียนไป
“ทางด้านตระกูลทังยังมีเรื่องให้เขาทำ—แปปนะผมรับโทรศัพท์ก่อน” อวี๋หมิงหลางทำมือขอพักชั่วคราว
“ฮัลโหลจูขี้บ่นเหรอ—อะไรนะ”
“เขาว่าไง”
เสี่ยวเชี่ยนถามด้วยความอยากรู้หลังจากอวี๋หมิงหลางวางสาย
อวี๋หมิงหลางยิ้มเจ้าเล่ห์ กระดิกนิ้วเรียกเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนยื่นหน้าเข้าไป
“เมียจ๋า ตอนเย็นอยากเล่นอะไรสนุกๆไหม”
“หืม”
อวี๋หมิงหลางพูดแบบนี้กับเสี่ยวเชี่ยน ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพร้อมกัน ได้เลย สนุกแน่
“รีบไปเสียบให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวเรียกหลิวเหมยกับสุ่ยเซียนมา” พอมีเรื่องสนุกเสี่ยวเชี่ยนก็กระปรี้กระเปร่า หลายวันมานี้วุ่นอยู่กับเรื่องอาเหม็ดกับรับมือซ่งชิงอู๋ ถึงเวลาได้ผ่อนคลายแล้ว
“รู้สึกเหมือนเราสองคนลืมอะไรไป” อวี๋หมิงหลางจำได้ว่าเหมือนยังมีเรื่องอีกนิดหน่อย
“อ๋อ นึกออกแล้ว ซ่งชิงอู๋เอาผลไม้มาให้ตั้งเยอะ ฉันไปเอามาจัดใส่จานแช่ตู้เย็นดีกว่า กินตอนเย็นเพอร์เฟคสุด” เสี่ยวเชี่ยนยืนขึ้น
“ใช่ เมียผมฉลาดจังเลย~”
ทั้งสองคนมัวแต่สนเรื่องกินเรื่องเล่นจนมองข้ามไปเรื่องหนึ่ง
ใครให้ผลไม้มา ซ่งชิงอู๋ไง
แล้วก่อนเจอซ่งชิงอู๋เกิดอะไรขึ้น อาข่ามีเรื่องกับบอดี้การ์ดซ่งชิงอู๋
ประธานเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมัวแต่ดีใจที่จัดการเรื่องซ่งชิงอู๋ได้สำเร็จจนลืมอาข่าไปเสียสนิท
อวี๋หมิงหลางจำได้ว่าต้องรีบรายงานต่อเบื้องบน นำบันทึกเสียงช่วงที่เสี่ยวเชี่ยนทำการรักษาซ่งชิงอู๋มอบให้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เบื้องบนชมเสี่ยวเชี่ยนไม่ขาดปาก—แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง
เขายังจำได้อีกว่าวันนี้เมียเขาเป็นกังวลมาก กว่าจะจัดการปัญหาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เลยเรียกให้ทุกคนมากินเนื้อย่างร่วมกันเพื่อผ่อนคลาย
แต่เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางต่างลืมไปเสียสนิทว่ายังมีสาวผมทองที่ช่วยเสี่ยวเชี่ยนจนบาดเจ็บนามว่าอาข่า
อาข่าที่เจ็บบาดแผลเวลานี้กำลังต่อคิวเพื่อรอรับการตรวจในโรงพยาบาล ชีวิตช่างลำบาก…
หน้าร้อนแต่งตัวน้อยชิ้น เหงื่อออกง่าย ที่ที่มีคนเยอะๆจึงมักจะมีกลิ่นแปลกๆโชยมา เดิมอาข่าก็บาดเจ็บอยู่แล้ว พอมีกลิ่นตัวมนุษย์โชยมาก็ยิ่งมึนหัว อยากจะอ้วกทำไงดี
ในที่สุดอาข่าก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นอยากจะออกไปสูดอากาศ ด้วยความที่มึนหัวเลยไม่ได้มองข้างหน้าให้ดีทำให้ไปชนกับผู้ชายคนหนึ่ง
เจิ้งซวี่ถือผลตรวจของพ่อเตรียมจะไปพบแพทย์ แล้วก็เจอคนเซไปเซมาเหมือนคนเมา เดินสะเปะสะปะเอียงซ้ายเอียงขวา
เจิ้งซวี่หลบซ้ายคนๆนี้ก็โยกซ้าย เจิ้งซวี่หลบขวาคนผมทองใส่หมวกแก็ปนี้ก็โยกขวา เดินไม่มองทางวอนหาเรื่องชัดๆ
ทันใดนั้นก็มีเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินมา หมอกับพยาบาลเข็นกันอย่างรีบร้อน เจิ้งซวี่เบี่ยงตัวหลบ อาข่าก็หลบ จากนั้นทั้งสองคนก็ชนกัน
เจิ้งซวี่รู้สึกเหมือนมีวัตถุหนักๆถาโถมมาที่ตัวเขา คนที่ดูผอมบางแต่กลับตัวหนัก เขาคิดว่าตัวเองต้องบาดเจ็บแน่ๆตัวหนักขนาดนี้ ไอ้บ้าเอ๊ย…เจิ้งซวี่ทนไม่ไหว ต้องจัดสักถีบแล้ว
จากเดิมที่รอบตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อกับกลิ่นเหงื่อคน อยู่ๆก็มีกลิ่นโคโลญจน์ผู้ชายลอยมา อาข่ารู้สึกสดชื่นจึงสูดดมใหญ่ หอมจัง
นี่หมาเหรอ เจิ้งซวี่ทนไม่ไหวกระชากคอเสื้ออาข่าขึ้นมา ขณะที่กำลังจะตีเข่าสักทีเขาก็พบว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิง เจิ้งซวี่จึงวางขาลง
“ขอโทษค่ะฉันมึนหัวไปหน่อย…” เดิมอาข่าก็เวียนหัวเป็นทุนเดิม พอถูกเขากระชากคอเสื้อแบบนี้ก็ยิ่งอยากอ้วก เจิ้งซวี่พอเห็นอีกฝ่ายจะอาเจียนก็รีบปล่อยมือ เขาที่ค่อนข้างรักความสะอาดรีบถอยหลังออก เอกสารที่อยู่ในมือไม่ทันระวังร่วงหลุดมือไป
“แหวะ” อาข่าอาเจียนออกมา อ้วกพุ่งไปข้างหน้า กองอ้วกทั้งหมดลงไปกองบนรองเท้าหนังของเจิ้งซวี่ที่ถูกขัดเป็นมันเงา
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวฉันเก็บให้” พอนึกได้ว่าตัวเองก่อเรื่องแล้วอาข่าจึงรีบก้มลงไปช่วยเก็บเอกสาร สายตาที่เบลอๆของเธอเห็นอักษรที่เขียนตัวเบ้อเร่อบนกระดาษว่า
ริดสีดวง
เอ๋ เขาเป็นริดสีดวงเหรอ อาข่าเก็บเอกสารพลางเหลือบมองเจิ้งซวี่ สายตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เจิ้งซวี่เส้นเลือดปูดบนหน้าผาก
ทำไมผู้หญิงคนนี้มองเขาด้วยสายตาแบบนี้ นี่มันผลตรวจของพ่อเขาโว้ย ไม่ใช่ของเขา
“ไม่ต้อง ผมเก็บเอง”
“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้วุ่นวาย ไว้ฉันจะชดเชยให้ค่ะ”
อาข่ายืนขึ้น เจิ้งซวี่ก้มลง หัวของอาข่าจึงชนคางของเจิ้งซวี่
เจิ้งซวี่ไม่เคยเจอเหตุการณ์น่าอายแบบนี้มาก่อนในชีวิต เขาโดนกระแทกกัดลิ้นตัวเอง…ไอ้บัดซบหัวทอง
“อ๊า ขอโทษค่ะ ฉัน—” อาข่ายืนขึ้นอยากดูว่าตัวเองกระแทกโดนตรงไหน แต่กลับรู้สึกว่าทุกอย่างมืดมนแล้วเธอก็สลบลงไปกองกับพื้น
ก่อนสลบเธอจำได้ว่าผู้ชายที่มีกลิ่นโคโลญจน์และเป็น ‘ริดสีดวง’ คนนี้พยุงเธอไว้ เป็นคนดีจริงๆเลยนะ…
อะไรวะ ชนเขา อ้วกใส่เขา แล้วก็ชนเขาอีก จากนั้นก็สลบไปต่อหน้า
เจิ้งซวี่รู้สึกว่าตัวเองซวยสุดขีด เขาอุ้มสาวหัวทองที่สลบอยู่วิ่งหอบไปหาหมอ “ดูให้หน่อยตายหรือยัง ตรวจดูให้ทีครับ”
เขาไม่ควรมาที่นี่ ดูสิซวยแค่ไหน ยัยหัวทองคนนี้ควรดีใจที่ตัวเองเป็นผู้หญิง นี่ถ้าเป็นตัวผู้นะมันตายไปแล้ว เจิ้งซวี่ที่กำลังอุ้มอาข่าอยู่คิดอย่างเคียดแค้น