บทที่ 7 ทำตัวเองอัปยศ
ดึกสงัด
เจียงชื่อเดินเข้าห้องนอนกับติงเมิ่งเหยน
พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ว่าตามหลักแล้วจะต้องนอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน
เพียงแต่พวกเขาสองคนไม่ต่างอะไรจากคนที่เพิ่งรู้จักกัน อยู่ๆ ต้องนอนเตียงเดียวกัน เป็นใครก็ต้องรู้สึกแปลก
โดยเฉพาะติงเมิ่งเหยน แม้แต่กับผู้หญิงเธอก็ไม่เคยนอนด้วย ยิ่งผู้ชายที่เพิ่งรู้จักยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นสามีของเธอ
เจียงชื่อไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ หอบผ้าห่มบนเตียงลงมาปูที่พื้น
“คุณจะทำอะไร?” ติงเมิ่งเหยนถาม
“คุณนอนบนเตียง ผมนอนบนพื้น”
“นี่……”
“ไม่ต้องรู้สึกแย่ หลายปีที่เป็นทหาร ผมนอนปูกับพื้นจนชินแล้ว”
ติงเมิ่งเหยนไม่ได้พูดอะไรมาก ปิดไฟ มุดเข้าไปในผ้าห่ม
ความมืดในกลางคืน เจียงชื่ออยู่ๆ ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า: “ผมขอโทษ”
ติงเมิ่งเหยนสะดุ้งขึ้น นึกไม่ถึงว่าเจียงชื่อจะพูดขึ้นมาเช่นนี้กับเธอ
เจียงชื่อพูดต่อ: “หลายปีนี้ที่ผมไปเป็นทหาร รู้สึกผิดกับคนสองคนที่สุด คนหนึ่งคือน้องชายของผม ส่วนอีกคนก็คือคุณ ถ้าผมกลับมาเร็วกว่านี้ โม่เขาก็คงไม่ตาย ถ้าผมกลับมาเร็วกว่านี้ คุณก็ไม่ต้องทนกล้ำกลืนเช่นนี้”
พริบตาเดียว น้ำตาที่เก็บกดอยู่นานหลายปี ก็ไหลออกมาจากเบ้าตาของติงเมิ่งเหยน
ใน5ปีนี้ เธอต้องทนเสียงซุบซิบต่างๆ นานา ในทุกวัน มีหลายครั้งที่ต้องกล้ำกลืน ไม่มีแม้แต่คนที่จะระบายความในใจได้ ได้แต่หาที่ที่ไม่มีใครแอบร้องไห้
เธอ อยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย
เจียงชื่อพูดว่า: “แต่คุณวางใจได้ ผมกลับมาแล้ว จะไม่ให้คุณต้องเจอกับความกล้ำกลืนอีก นี่เป็นคำมั่นที่ผู้ชายคนหนึ่งให้ไว้กับคุณ”
ไม่สามารถเติมเต็มหนี้ค้างของน้องชาย อย่างน้อยก็พยายามเติมเต็มสิ่งที่ภรรยาขาดให้ถึงที่สุด
……
เช้าวันถัดมา
เจียงชื่อตื่นแต่เช้าแต่งตัวเสร็จ ก็เรียกให้ติงเมิ่งเหยนรีบตื่นขึ้นมาด้วย
“ตื่นเช้าขนาดนี้ทำไมกัน?”
“ไปร่วมงานพิธี”
ติงเมิ่งเหยนชะงักไปชั่วครู่ “งานพิธีอะไร?”
“วันนี้เป็นงานพิธีเข้ารับตำแหน่งของผู้รับผิดชอบสามเขต ผมไหว้วานเพื่อนทำผู้มีสิทธิ์อีก2คน คุณไปงานกับผมนะ”
ติงเมิ่งเหยนรู้สึกเหนือความคาดหมาย เธอเคยถามติงฉี่ซาน ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมงานพิธีรับตำแหน่งนั้นเข้มงวดมาก ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่เก่าที่ทำงานในเมืองมา 20 กว่าปี ก็ต้องผ่านการคัดกรองแต่ละขั้นถึงจะได้สิทธิ์
ดังนั้นคนทั่วไปอย่าได้คิดเป็นอันขาด
แค่สิทธิ์เดียวก็ลำบากจะแย่ ยิ่งถ้าสองสิทธิ์ในคราวเดียวก็ไม่ต้องพูดถึง คาดว่าคงมีแต่คนระดับถังแหวนโม่อย่างนั้นถึงจะทำได้ง่าย
แต่ดูท่าทางเจียงชื่อเหมือนไม่ได้พูดเล่น
เชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง ติงเมิ่งเหยนแต่งตัวเสร็จ ก็รีบกินมื้อเช้า จากนั้นก็ขับรถส่งเจียงชื่อมายังหน้าอาคารงานพิธีรับตำแหน่ง
รถที่จอดอยู่ในเวลานี้ล้วนเป็นรถหรูราคาหลักล้านทั้งสิ้น แสดงถึงฐานะของผู้มาร่วมงานล้วนสูงส่ง
รถยนต์ของติงเมิ่งเหยนอยู่ในนี้เห็นชัดว่าไม่เข้าพวก
“เจียงชื่อ คุณแน่เหรอว่าพวกเรามีสิทธิ์เข้าไป?” ติงเมิ่งเหยนแสดงอาการสงสัยอีกครั้ง เดี๋ยวถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะขายหน้าเอานะ
“เชื่อผมก็พอแล้ว”
เจียงชื่อนำติงเมิ่งเหยนเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าอาคาร ในเวลานี้เอง มีเงาของคนสามคนทแยงมาจากข้างหลัง
“โอ้ พี่ใหญ่ พี่เขย ดูสินั่นใคร?”
ติงเมิ่งเหยนได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าเป็นพี่สองติงเฝิงเฉิง พอหันกลับไปดู ก็พบว่าเป็นติงเฝิงเฉิงกับติงจื่อยวี่ ถังหวานโม่เดินมาด้วยกันจริงๆ
ติงเฝิงเฉิงหัวเราะเหอะๆ พูดว่า: “บังเอิญจริงนะ นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่ โอ้ พาเจ้าตัวประหลาดนั่นมาด้วยเหรอ? พวกเธอ2คนมาทำอะไรที่นี่?
เจียงชื่อพูดขึ้นตามมา: “มาที่นี่ ก็เพื่อร่วมงานพิธีรับตำแหน่งไม่ใช่เหรอ? ”
ติงเฝิงเฉิงอึ้งไปชั่วครู่ มองไปยังถังแหวนโม่ “พี่เขยใหญ่ พี่ก็ทำสิทธิให้พวกเขา2คนด้วยเหรอ? ”
ถังแหวนโม่โบกไม้โบกมือ “จากอำนาจของฉัน อย่างมากก็ทำได้แค่ 3 สิทธิ”
“อ้อ?” ติงเฝิงเฉิงถามต่อ: “หรือติงฉี่ซานเป็นคนทำ?”
ถังแหวนโม่หัวเราะอย่างดูถูกขึ้นมา “คนกระจอกอย่างเขา? สิทธิ์ของเขาเองยังต้องให้ท่านผู้นำหาของขวัญไปขอร้องคนอื่นเลย แล้วจะมีอำนาจอะไรไปทำสิทธิ์ให้คนอื่น?”
พอฟังถึงตรงนี้ ติงเฝิงเฉิงก็หัวเราะขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า น้องเล็ก พวกเธอไม่มีสิทธิ์เข้ามาในนี้ล่ะสิ แล้วพวกเธอจะมาร่วมพิธีรับตำแหน่งอะไรกัน? พวกเธอนึกว่าที่นี่เป็นตลาดสด อยากมาก็มาอย่างนั้นเหรอ?”
ติงเมิ่งเหยนคิ้วขมวดเข้า ที่จริงเธอก็สงสัยว่า 2 สิทธิของเจียงชื่อว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
ตอนนี้พอได้ยินถังแหวนโม่บอกว่าการขอสิทธิ์ยากเช่นนี้ ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น
ในเวลานี้เอง เจียงชื่อเดินก้าวไปข้างหน้า พูดอย่างไม่สนว่า: “พวกเรามีสิทธิหรือไม่พวกเรารู้ดีแก่ใจ ไม่เหมือนใครบางคน ไม่รู้แม้แต่ตัวเองว่ามีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ ช่างน่าสงสารจริงๆ”
คำพูดนี้ เห็นชัดๆ ว่ามุ่งมาที่พวกถังแหวนโม่ทั้ง3คน
ติงเฝิงเฉิงชักไม่สนุกแล้ว “ให้ตายนายพูดอะไรของนาย? อย่านึกว่าได้เข้าตระกูลติงของพวกเราแล้ว ก็จะเป็นคนตระกูลติงของพวกเรา ถ้ายังกล้าทำเป็นเก่งกับฉัน ฉันจะต่อยปากนายให้?”
ถังแหวนโม่ยื่นมือขวางติงเฝิงเฉิงไว้
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะก่อเรื่อง มีอะไรกลับไปค่อยว่ากัน”
“เข้าใจแล้ว พี่เขยใหญ่”
ถังแหวนโม่มองเจียงชื่อด้วยความดูถูก “คนเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้ตัวเอง เอาไข่ไปกระแทกหิน ดีแต่ทำให้ตัวเองต้องอัปยศ”
พูดจบ เขาก็หันตัวเดินไปยังประตูทางเข้าอาคาร
ติงจื่อยวี่เดินมาเตือนติงเมิ่งเหยนด้วยความหวังดีว่า: “น้องเล็กจ๊ะ สามีของฉันเขาเป็นทหาร อารมณ์ร้ายนิดหน่อย พูดจากไม่น่าฟัง เธออย่าถือสานะ ว่าแต่เธอก็เหมือนกัน วันๆ อย่าเอาของพรรค์นี้ออกมาขายหน้าคนอื่น ทำให้เธอต้องเจอโทษไปด้วย พี่จะเข้าไปร่วมงานพิธีรับตำแหน่งแล้ว คงไม่พูดกับเธอมากแล้ว เธอก็กลับไปก่อนเถอะ นะ”
ดูผิวเผินเหมือนพูดจากดี แต่ความจริงแต่ละประโยคทิ่มแทงใจ
ตอนติงจื่อยวี่หันตัวเดินจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ได้ใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอโดนติงเมิ่งเหยนข่มมาตลอด ไม่เคยตำหนิใส่หน้าติงเมิ่งเหยนได้สะใจอย่างนี้มาก่อน นี่เพราะดีที่เธอได้แต่งกับชายในฝัน
สีหน้าของติงเมิ่งเหยนหมองคล้ำ ยืนทื่ออยู่กับที่ไม่ขยับ
เดิมทีอยู่บ้านเฉยๆ ก็ดีแล้ว ทำไมต้องมาที่อย่างนี้ทำตัวเองให้อัปยศด้วย?
“ไปเถอะ” เจียงชื่อพูดอย่างเรียบๆ
“ไป? ไปไหน?” น้ำเสียงติงเมิ่งเหยนไม่เป็นมิตร
“ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ไปร่วมงานพิธีรับตำแหน่ง”
“คุณก่อเรื่องพอแล้วยัง?!” ในที่สุดติงเมิ่งเหยนก็กลั้นไว้ไม่อยู่ “คุณไม่มีความสามารถฉันก็ไม่โทษคุณ แต่คุณฮึดสู้บ้างได้ไหม อย่าเอาแต่มักใหญ่ใฝ่สูง ทำตัวดัดจริต แบบนี้ไม่เพียงทำให้ฉันไม่มีความสุข กลับกันจะทำให้ฉันยิ่งเกลียดคุณมากขึ้น!”
พรึ่บๆๆ สายตารอบทิศมองมาในเวลาเดียวกัน
เจียงชื่อยืนอยู่ที่เดิม
3วินาทีผ่านไป เขาก็ยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นมาช้าๆ : “เมิ่งเหยน โปรดเชื่อผมสักครั้ง ถ้าผมพาคุณเข้าไปไม่ได้ ผมยินดีกลับไปหย่ากับคุณทันที”
ติงเมิ่งเหยนชะงักขึ้นมา พูดอย่างนี้ก็ดูรุนแรงไป ท่าทางของเจียงชื่อก็ไม่เหมือนล้อเล่นสักนิด
เขา เอาจริง
หลังจากลังเลไปมา ติงเมิ่งเหยนกัดริมฝีปาก “ได้ ฉันจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง!”
เธอก้าวเดินไปที่ประตูทางเข้าอาคาร