“ตอนที่เหนี่ยวไกไม่รู้สึกอะไร ระยะมันห่างมาก นัดเดียวระเบิดหัว พวกเรารีบเข้าไปช่วยตัวประกัน พอไปถึงผมก็อ้วกอีก ใช่ ตอนนั้นผมไม่ได้พูดความจริง ผมเคยบอกว่าพอกินเต้าหู้วันนั้นแล้วอ้วกหลังจากนั้นก็ไม่อ้วกอีก อันที่จริงครั้งนั้นผมก็อ้วก”
ดูเหมือนเสี่ยวเชี่ยนจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้วว่าทำไมเขาถึงได้เล่าเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้ฟังเท่าไรบอกเธอในวันนี้
“ผมรู้สึกหดหู่ไประยะหนึ่ง ทีมจิตแพทย์ของหน่วยมีเข้ามาคุย แต่พวกเขาก็ทดสอบไม่ได้อะไรออกมา”
“นายเป็นประเภทที่ต่อต้านการรักษา พวกเขาตรวจไม่พบความผิดปกติหรอก” เสี่ยวเชี่ยนเองก็เป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นเวลาที่สภาพจิตใจมีปัญหาจึงรักษายาก ฉลาดเกินไปก็ไม่ดี
“ต่อมาผมลาหยุดไปเยี่ยมเด็กผู้หญิงคนนั้น กลับมาได้ก็ดีแล้ว ตอนที่ผมเป็นมือสไนเปอร์ในช่วงนั้นผมเกลียดการเหนี่ยวไกยิงคนที่สุด แต่ทุกครั้งที่ได้รับคำสั่งจะไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าผมไม่ทำคนจำนวนมากก็จะเดือดร้อน”
“นายปรับอารมณ์เก่งมาก จริงๆแล้วมือสไนเปอร์ที่เคยเข้าร่วมการรบของเมืองนอกหลายคนพอปลดประจำการแล้วมีอาการบอบช้ำทางใจ อัตราที่จะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงกับการฆ่าตัวตายสูงมาก”
ทหารปลดประจำการของต่างประเทศมีอัตราการกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหรือฆ่าตัวตายสูงมาก สภาพจิตใจหดหู่ เพราะตอนอยู่ในสนามรบต้องฆ่าคนมากมาย ไม่ว่าตอนที่เหนี่ยวไกจะนึกถึงเรื่องความยุติธรรมหรือทำเพื่อส่วนรวมหรือไม่ พอผ่านไปแล้วสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในใจกลับส่งผลเป็นอย่างมาก
“นี่ก็เป็นเรื่องที่พวกเราให้ความสนใจมาตลอด สถานการณ์ในบ้านเราพบเจอได้น้อยมาก เพราะทหารของเรามีศรัทธาในจิตใจ นี่ก็เหมือนกัน เสียวเหม่ยของผมช่างสังเกตเข้าใจจุดอ่อนของนิสัยคน ไม่ว่าคุณจะไปทำเรื่องอะไรก็ตาม ขอแค่ในใจคุณมีศรัทธามีขอบเขต คุณก็จะไม่หลงทาง”
นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่อวี๋หมิงหลางเล่าเรื่องให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง
เขามองออก
เสี่ยวเชี่ยนรู้อยู่แล้วว่าปิดบังเขาไม่ได้ แค่สภาพอารมณ์เธอเปลี่ยนเล็กน้อยเขาก็รู้สึกได้
“ฉันก็แค่ไม่สบายใจ ถึงอาเหม็ดจะสมควรได้รับโทษ แต่สุดท้ายฉันก็เป็นคนเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเขา”
อวี๋หมิงหลางนวดศีรษะให้เธอ “คนอย่างอาเหม็ดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ยอมได้แม้กระทั่งเอาชีวิตคู่และความรักเป็นเหยื่อล่อผู้หญิงแต่งงาน ตอนนี้ตกอยู่ในกำมือซ่งชิงอู๋ สำหรับเขาแล้วก็ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี ซ่งชิงอู๋สามารถช่วยเขาให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นการที่เขาไปหลอกผู้หญิงหรือถูกผู้ชายหลอกก็ไม่ต่างกันหรอก”
“ฉันเข้าใจ ก็แค่ไม่สบายใจนิดหน่อย ได้คุยกับนายก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ที่คุณรู้สึกไม่สบายใจก็แสดงว่าคุณยังเป็นคนปกติ ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยแบบนั้นสิน่ากลัว”
อวี๋หมิงหลางชอบเสี่ยวเชี่ยนที่เป็นแบบนี้ เธอเด็ดเดี่ยวแต่ก็ใช่ว่าจิตใจจะแข็งกระด้าง เธอสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆหนึ่งได้แต่ไม่ลงมือเองง่ายๆ จุดนี้ทำได้กำลังดี
“ไม่เป็นไรแล้ว ไปเสียบเนื้อแพะต่อเถอะเดี๋ยวฉันช่วย” เสี่ยวเชี่ยนพอได้คุยก็สบายใจขึ้น
อวี๋หมิงหลางพอได้ยินว่าเธอจะเข้าครัวก็เครียดประหนึ่งเจอผู้ก่อการร้าย อาเหม็ดกับซ่งชิงอู๋รวมกันยังไม่น่ากลัวเท่าเสี่ยวเชี่ยนจะเข้าครัว
ครั้นแล้วเสี่ยวเชี่ยนจึงถูกแบ่งงานง่ายๆให้ทำคือเสียบลูกชิ้น อวี๋หมิงหลางมั่นใจว่างานนี้ไม่พลาดได้ง่ายๆและคงไม่สร้างพลังทำลายล้างอะไร แต่เพื่อความปลอดภัย ลากเก้าอี้ไปให้เธอทำไกลๆดีกว่า อยู่ให้ห่างจากอุปกรณ์ครัวทั้งหมด
“ทำไมเบญจมาศอาเหม็ดถึงได้มีลักษณะพิเศษแบบนั้นล่ะ” อวี๋หมิงหลางไม่เข้าใจว่าจะมีคนที่ชอบให้ใช้ความรุนแรงด้วยเหรอ
นี่ต้องโรคจิตเบอร์ไหน
“ทำไมตอนนายกินเนื้อย่างต้องสั่งบะหมี่เผ็ดมากินเพิ่มด้วยล่ะ ทำไมถึงมีคนชอบบันจี้จั๊มพ์ ก็เพื่อความเร้าใจ เดี๋ยวนี้ผู้คนมองว่าเรื่องSMเป็นเรื่องที่น่าเกลียดน่ากลัว ส่วนหนึ่งก็มาจากที่ผู้ชายหน้าไม่อายอย่างพวกนายดูหนังเอวีที่มีเนื้อหาล้าหลัง ลองนายไปจับคนเดินถนนมามัดไว้สิ แบบนั้นมันผิดกฎหมายใช่ไหมล่ะ แต่SMไม่ใช่พฤติกรรมที่ถูกบังคับ ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานความสมัครใจ แบบนั้นถึงเรียกว่าSM”
ดูเหมือนว่าคนเป็นSจะเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง อันที่จริงแล้วไม่ใช่ Mหรอกที่เป็นคนกุมอำนาจทั้งหมด
จิตแพทย์คิดว่า คนเป็นMถึงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ตัดสินพฤติกรรมของS ทุกอย่างของSล้วนบริการเพื่อความสุขของM
“…ผมไม่ได้ดูหนังเอวี” อวี๋หมิงหลางขอค้าน เขาไม่ได้รสนิยมรุนแรงแบบนั้น
“นายดูของฝรั่งอย่ามาทำเป็นพูดเลย ที่ฉันอยากบอกก็คือ อันที่จริงสุขภาพจิตของคนส่วนใหญ่ที่เป็นแบบนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตที่ปกติ มีนักปรัชญาคนหนึ่งเคยว่าไว้ ระหว่างมนุษย์ด้วยกันสุดท้ายก็มีแค่ฝ่ายกระทำและฝ่ายถูกกระทำ นายลองนึกถึงทฤษฎีความสัมพันธ์ของกษัตริย์และขุนนาง พ่อกับลูก สามีกับภรรยาของขงจื๊อดูสิ ล้วนตั้งอยู่บนการครอบงำจิตใจหรือเปล่า บางคนชอบที่จะยอมให้คนอื่น บางคนชอบให้คนอื่นมาสยบ ของแบบนี้ถ้าทุกคนยอมรับได้มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ทำไมพอมันมาใช้กับร่างกายกลายเป็นเรื่องไม่ปกติล่ะ โลกนี้ประหลาดจริง ถ้านายใช้มุมมองทางจิตวิทยาไปวิเคราะห์เรื่องต่างๆก็จะมองเห็นหลายมุม”
ผู้หญิงที่ชอบให้สามีควบคุมต่างคิดว่าผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูกล้วนมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ยอมอุทิศตนทั้งหมดเพื่อครอบครัว กินอาหารเหลือ ประหยัดอดออม คนภายนอกเห็นแล้วเหมือนถูกทารุณ แต่เจ้าตัวกลับมีความสุข จะพูดว่ามีสุขภาพจิตที่ผิดปกติก็ไม่ใช่ ผู้หญิงหลายคนชอบที่จะเป็นแบบนี้ คนหนึ่งอยากตีอีกคนยอมให้ตี ไม่มีถูกหรือผิดหรอก
“ผมว่าพวกปรัชญาก็คือการเอาชีวิตคนพูดวนไปเวียนมา” อวี๋หมิงหลางพอจะเข้าใจ แต่กลับยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว จะคุยเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว อาจเป็นเรื่องขึ้นมาได้
“พูดตามตรงก็คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติของคนกับหลักการต่างๆ เมื่อสิ่งที่เป็นมาโดยธรรมชาติไม่ได้รับการปลดปล่อยหรือเติมเต็ม จิตใจก็จะเกิดปัญหา ถ้าดูจากท่าทีที่อาเหม็ดปฏิบัติต่อผู้หญิง ตัวเขาน่าจะมีวัยเด็กที่ไม่มีความสุข แม่ของเขาเป็นแค่หนึ่งในผู้หญิงจำนวนมากของพ่อ ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญหนำซ้ำยังถูกทำร้ายร่างกาย ความโกรธเกลียดนี้เลยตกสู่ลูก ทำให้เขาดูถูกผู้หญิง คิดว่าผู้หญิงเป็นสัตว์ที่ไอคิวต่ำ ขณะเดียวกันจิตใจส่วนลึกของเขาก็โหยหาการถูกทำร้ายร่างกาย”
“ต่อไปรอผมปลดประจำการเหมือนจูขี้บ่นแล้วผมจะไปตั้งโต๊ะรับดูดวงให้คุณ คุณไม่ใช่แค่มองความคิดของคนออก ยังวิเคราะห์เส้นทางการเติบโตได้ด้วย ถ้าไม่รับดูดวงก็น่าเสียดายฝีมือนะ”
“ในสายตาของพวกเรา คนแต่ละคนก็เหมือนกับผ้าใบวาดรูป วาดภาพอะไรออกมาก็จะหมายถึงชีวิตผ่านอะไรมาบ้าง ที่ฉันคาดคะเนเส้นทางชีวิตออกมาได้ก็เหมือนกับที่นายยิง…ปืน ไม่ได้มีอะไรแปลก”
ยิง…ปืน อวี๋หมิงหลางรู้สึกได้ว่าเธอจงใจจะสื่ออย่างอื่น
“ไม่ใช่ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ฉันเหมือนได้ยินอะไรที่สำคัญๆ—นายบอกว่าจูขี้บ่นปลดประจำการแล้ว”
ช่วงสองวันมานี้ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายประธานเชี่ยนสภาพอารมณ์แตกต่างกันสุดขั้ว หลิวเหมยหลังจากที่เลิกกับผู้ชายเฮงซวยก็ได้เริ่มรักครั้งใหม่กับเลี่ยวฟู่กุ้ย สองคนที่ความรู้สึกช้าในเรื่องความรักได้ก่อเปลวเพลิงแห่งรักอันโชติช่วง
ส่วนทางด้านสุ่ยเซียนก็อารมณ์ขุ่นมัวดั่งน้ำในคลองแสนแสบ ทำหน้าหมดอาลัยตายอยากเหมือนโลกนี้พรากจูขี้บ่นจากเธอไป
“อืม ออกมาแล้ว เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้วเขาถึงได้ตัดสินใจออกมาอย่างยากลำบาก”
ยากลำบากจริงๆ ตอนที่จูขี้บ่นพูดความในใจกับอวี๋หมิงหลาง มีหลายช่วงที่เขาหนักใจจนพูดไม่ออก