เมื่อหลัวเซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะยกใหญ่ “เรื่องนี้งั้นเหรอ?ยังไงก็ได้ นายตัดสินใจเลย ฉันมีหน้าที่แค่เขียนเพลงและหานักร้องที่เหมาะสม ส่วนการโฆษณาเชิญชวนนั้นเป็นเรื่องของนายฉันไม่สนใจหรอก”
อันที่จริง เจียงชื่อรู้ดีว่านี่เป็นการดูแลพิเศษของหลัวเซิ่งที่มีต่อเขา
เนื่องจากหลัวเซิ่งนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องของความเข้มงวด เขาจึงต้องจับทุกอย่างด้วยมือเดียว เขาจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะร้องเพลงอย่างไร ใครจะร้องและร้องเมื่อใด
ตอนนี้เขาได้ให้สิทธิ์แก่เจียงชื่อ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหลัวเซิ่งนั้นเคารพในตัวของเจียงชื่อแล้ว
หลังจากอัดเสียงเสร็จ หลิงเหยาเดินออกจากห้องอัดเสียงอย่างสั่นๆ แล้วถามว่า “อาจารย์หลัว เอ่อฝั่งหนู…โอเคไหมคะ?”
หลัวเซิ่งหัวเราะออกมา “งั้นจะให้มันพอได้หรือไง?มันเยี่ยมยอดสมบูรณ์เลยต่างหาก!หลิงเหยา เธอน่ะ ต้องมีความมั่นใจมากกว่านี้นะ ทักษะการแสดงและการร้องเพลงของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก และตอนนี้เองเธอก็มีชื่อเสียงไม่น้อยเลย ไม่จำเป็นต้องทำตัวเองเหมือนคนเพิ่งมาใหม่ รู้ไหม?”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ อาจารย์หลัว”
“เสร็จซะที ฉันจัดการเสร็จแล้ว จะกลับไปนอนก่อนนะ เหนื่อยจะแย่”
“อาจารย์หลัวกลับดีๆนะ”
หลังจากที่ส่งหลัวเซิ่งเสร็จ เจียงชื่อก็ตะโกนเรียกหลิงเหยา มีเรื่องจะบอกกับเธอ
หลิงเหยาไม่ลังเล ตอบตกลงไป
วันวันหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไรอีก หลังจากที่เจียงชื่อจัดการงานในมือเสร็จแล้ว เขาก็ออกจากสำนักงานและตรงไปที่ร้านอาหารเหอหยุน เพื่อที่จะไปพบกับติงเมิ่งเหยนและติงฉี่ซาน
หลังจากออกมาเพียงไม่กี่ก้าว ประธานเฉิงก็ได้เรียกตามหลังมา
“เจียงชื่อ รอเดี๋ยว”
เจียงชื่อนั้นยืนนิ่ง พร้อมกับหันกลับมาพบประธานเฉิงที่ในมือถือของคล้ายกับม้วนภาพอยู่
“มีอะไรเหรอครับ?”
ประธานเฉิงพูด “วันนี้เป็นวันที่ย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว ลูกค้าส่งสำเนาสมุดเลียนแบบของถังไป่หู่มาให้เป็นของขวัญ แล้วพอดีฉันไม่สนใจเท่าไหร่นัก ได้ยินมาว่าพ่อตาของนายดูเหมือนจะเชี่ยวชาญเรื่องศิลปะพู่กันจีนมาก บางทีอาจจะชอบสิ่งนี้? ฉันเลยเอามาให้นายน่ะ”
“หืม?ผมเกรงใจครับ”
“นายจะมาเกรงใจอะไรฉันล่ะ รับไป”
ประธานเฉิงยัดสมุดเลียนแบบไว้ในมือของเจียงชื่อและพูดว่า“เก็บไว้ให้ดีนะ นี่เป็นโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินมูลค่าไว้ยี่สิบสามสิบล้านหยวนเลย!”
“จำนวนเงิน….”
เจียงชื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สมุดเลียนแบบยี่สิบสามสิบล้าน บอกจะให้ก็ให้เลยงั้นเหรอ
ประธานเฉิงใจดีกับเขามากเหลือเกิน
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก งั้นก็ตามนี้เลยนะ” ประธานเฉิงหันหลังเข้าบริษัทไป
เจียงชื่อยืนอยู่ต้องนั้นพร้อมกับสมุดเลียนแบบในมือของเขา และทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าติงเมิ่งเหยนได้ขอให้เขาเตรียมของขวัญให้พ่อตาคืนนี้ แต่วันนี้เขาลืมมันไปเสียสนิทเลย
เขามองสมุดเลียนแบบในมือ “ช่างมันเถอะ ถือซะว่ายืมดอกไม้มาถวายพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน”
เจียงชื่อเรียกรถแท็กซี่ และรีบไปที่ร้านอาหารเหอหยุนทันที
ไม่นานนัก ก็มาถึง
เจียงชื่อเข้าไปในร้านอาหารพร้อมกับสมุดลอกเลียนแบบในมือของเขา ติงเมิ่งเหยนรอเขาอยู่ที่ประตูมานานแล้ว ทั้งสองจับมือพากันเข้าไปในที่นั่งชั้นพิเศษ
นอกจากเจียงชื่อแล้ว ทุกๆคนก็มาถึงกันหมด
โต๊ะสำหรับหกคน ครอบครัวของติงฉี่ซาน มีเพียงแค่ซูฉินที่ไม่ได้มา ฝั่งตรงข้ามก็เป็นครอบครัวของหวางจื้อหรง นอกจากหวางจื้อหรงแล้วก็ยังมีลูกสาวหวางเฟิ่งหย่า และลูกเขยสวีชง
สองตระกูลในหนึ่งโต๊ะ หลังจากที่ทั้งหกคนนั่งรวมกันแล้ว พนักงานเสิร์ฟก็ยกจานทีละจานจนเต็ม
อาหารเย็น อาหารจานร้อน เครื่องดื่ม เครื่องดื่ม จานและตะเกียบถูกจัดเตรียมอย่างประณีต
“มาที่งานเลี้ยงอาหารค่ำประจำปีของทั้งสองตระกูลของเรา ไชโย!”
“ไชโย”
ทั้งหกคนยกถ้วยของพวกเขา ผู้ชายดื่มเหล้า ส่วนเหล่าผู้หญิงดื่มเครื่องดื่ม
หลังจากหวางจื้อหรงดื่มหมดไปหนึ่งแก้ว กินอาหารอีกหนึ่งคำ ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉี่ซาน ฉันเป็นเพื่อนแกมาเป็นสิบปีได้แล้วใช่ไหม?”
ติงฉี่ซานพยักหน้า “พอมาคิดๆดูก็สิบปีได้แล้วล่ะ”