เสี่ยวเชี่ยนที่รีบร้อนกลับมายิงปืนแล้วก็ไปได้ทิ้งความเร้าใจให้กับประธานเชี่ยน พร้อมทั้งรอยแห่งรักบนร่างกาย
เธอสงสัยจริงๆว่าตานี่เกิดปีจอหรือเปล่า ทุกครั้งจะทั้งกัดทั้งจูบ จูบแล้วจูบอีก เล่นเอาเธอคุ้ยทั้งตู้เสื้อผ้าก็ยังหาตัวที่เหมาะสมใส่ไม่ได้ ก็เลยไม่ไปไหนเสียเลย รอให้รอยจ้ำแดงๆหายก่อนค่อยออกจากบ้าน
แต่แผนของเธออาจล้มเหลว เพิ่งจะโดดเรียนได้ครึ่งวันศาสตราจารย์หลิวก็โทรมา
“เสี่ยวปืนเหล็ก มีเรื่องให้ทำวันมะรืน เธอต้องไปข้างนอกแทนฉันหน่อย”
“อาจารย์คะ วันมะรืนหนูไม่สบาย” เสี่ยวเชี่ยนมองรอยจ้ำบนร่างกาย วันมะรืนก็ยังไม่หายแน่นอน จะให้เธอออกไปพร้อมรอยพวกนี้เหรอ?
“…เฉินเสี่ยวเชี่ยน อยากตายเหรอ?”
วันมะรืนยังมาไม่ถึง ไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้หรือไง?
“ก็หนูรู้สึกไม่สบายทั้งร่างกายและสมองนี่คะ…”
หลายปีที่ผ่านมา หากอาจารย์มอบหมายงานที่เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากทำ เสี่ยวเชี่ยนก็จะหาข้ออ้างไปเรื่อย แน่นอนว่าไม่มีสักครั้งที่สำเร็จ ครั้งนี้ก็ไม่ต่าง
“ไม่อยากได้ดีแล้วใช่ไหม? ฉันสั่งอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
“อาจารย์จะให้หนูไปไหนคะ?”
“ถึงวันนั้นเดี๋ยวฉันโทรบอก ให้เธอไปก็ไป จะถามอะไรเยอะแยะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เธอทำกับศาสตราจารย์หลี่นะ ฉันไม่อยากจะว่าเธอ”
“อาจารย์แอบสะใจใช่ไหมล่ะคะ? อยากชมหนูล่ะสิ อย่าเขินเลยค่ะ อาจารย์ไม่ชอบที่เถ้าแก่เล็กใช้นักศึกษาทำงานส่วนตัวโดยไม่ให้เงินมานานแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
ศาสตราจารย์หลิวที่โดนรู้ทันแกล้งไอออกมา เธอไม่มีทางหลงกลยัยเสี่ยวปืนเหล็กหรอก
“อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง บอกให้ไปก็ไป ถ้าเธอไม่ไปฉันจะบอกศาสตราจารย์หลี่ว่าฉันไม่เอาลูกศิษย์อย่างเธอแล้ว ยกให้เขาไปเลย”
ความสัมพันธ์ดีแค่ไหนดูจากการพูดจาก็รู้ นี่เป็นศิษย์อาจารย์ที่สนิทกันมาก
“เห้อ…” เสี่ยวเชี่ยนถอนหายใจอย่างเซ็งๆ นี่อาจารย์เธอเข้าวัยทองแล้วเหรอ?
“ถอนหายใจทำไม ฉันยังไม่ถอนหายใจเลย รุ่นพี่เสี่ยวฮวาของเธอเกิดเรื่องแล้ว เธอก็เอาแต่ชอบอู้อยู่เรื่อย นี่ฉันซวยขนาดไหนกันนะที่รับลูกศิษย์ที่หาแต่เรื่องอย่างพวกเธอมา”
“พี่เสี่ยวฮวาเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“เขาแอบฉันไปรับเคสคนไข้ที่ป่วยเป็นภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง แล้วเอาบันทึกการรักษาไปเขียนเป็นไดอารี่ลงในเว็บบอร์ด ยอดคนเข้าไปอ่านสูงมาก และที่น่าเกลียดกว่าก็คือยังคิดจะปิดบังฉัน ตั้งค่าให้ฉันเข้าไปอ่านไม่ได้…หลุ่ยเสี่ยวฉามาบอกฉันถึงได้รู้”
“ยัยหลุ่ยเสี่ยวฉานี่เป็นตัวช่างยุจริงๆ เที่ยวสร้างความวุ่นวายไปทั่ว” เสี่ยวเชี่ยนทำเสียงหึ กะแล้วว่าหลุ่ยเสี่ยวฉาไม่ได้จริงใจกับรุ่นพี่เสี่ยวฮวาหรอก คนชั้นต่ำบางคนชอบเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองปีนขึ้นไป
“รู้ว่าเขาไม่ดีแล้วยังใช้เขาส่งอีเมล?” ศาสตราจารย์หลิวพูดอย่างเย็นชา
เสี่ยวเชี่ยนแกล้งไออย่างคนร้อนตัว
“อาจารย์จะจัดการเรื่องพี่เสี่ยวฮวายังไงคะ?”
“จะให้ทำไงได้ เขาอยากรับเคสนั้นก็ให้เขารับไป ต่อไปถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ต้องรับไปคนเดียว ฉันพูดอะไรเขาก็ไม่เคยฟังอยู่แล้วนี่”
นักศึกษาที่ดูแลมานานร้อนวิชาขนาดนี้ เห็นเสี่ยวเชี่ยนหาเงินได้เยอะก็อยากเอาบ้าง ที่ไม่ให้เสี่ยวฮวารับคนไข้แบบนี้ก็เพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น แต่เสี่ยวฮวากลับคิดว่าศาสตราจารย์หลิวดูถูกในฝีมือ เพราะตอนนั้นศาสตราจารย์หลิวจะเอาเคสหลี่เจียให้เสี่ยวเชี่ยนไม่ให้เธอ ครั้นแล้วจึงออกไปรับงานเอง
คงอยากประชดศาสตราจารย์หลิว อยากพิสูจน์ว่าตัวเองก็ไม่ได้เก่งน้อยไปกว่าเสี่ยวเชี่ยน และรุ่นพี่เสี่ยวฮวายังได้โพสต์ลงในเว็บบอร์ดที่โด่งดังในประเทศโดยใช้ชื่อว่าผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตเวช ขณะเดียวกันก็คอยอัปเดตการรักษาในโพสต์พื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ โดยบอกว่าได้รับความยินยอมจากตัวคนไข้แล้ว ทำการบันทึกการรักษาในแต่ละครั้ง พร้อมทั้งตกแต่งถ้อยคำให้สละสลวย พอเปิดเป็นสาธารณะก็ดึงดูดความสนใจได้เป็นจำนวนมาก
วงการนี้เดิมก็เป็นเรื่องใหม่ในประเทศอยู่แล้ว คนทั่วไปจึงมีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องในวงการนี้เป็นพิเศษ บวกกับตัวรุ่นพี่เสี่ยวฮวาเป็นคนใช้สำนวนการเขียนได้ดี การที่มีคนแห่มาสนใจเยอะขนาดนี้ก็ไม่แปลกอะไร
มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยไม่ผ่านศาสตราจารย์หลิว อีกทั้งยังตั้งค่าให้ศาสตราจารย์หลิวเข้าไปอ่านไม่ได้ ทำให้เสียความรู้สึกไม่น้อย
ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะรู้เรื่องที่รุ่นพี่เสี่ยวฮวารับคนไข้เคสแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดว่ารุ่นพี่จะกล้าถึงขนาดเอาไปโพสต์ในเว็บบอร์ด แบบนี้ก็จัดการยากแล้ว
“ฉันได้อ่านบันทึกการรักษาของเขาแล้ว สำบัดสำนวนมากเกินไป เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาจริงๆเขียนไม่ชัดเจน แถมยังใส่ความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อคนไข้มากเกินไปด้วย ฉันเป็นห่วงนิดหน่อยว่าต่อไปเขาจะรับมือยังไง” ศาสตราจารย์หลิวกลุ้มใจ
“พี่เสี่ยวฮวาอยู่กับอาจารย์มาตั้งนาน บางทีอาจจัดการได้ก็ได้นะคะ”
ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า “ฉันดูแล้ว จนถึงตอนนี้คนไข้รายนั้นติดเสี่ยวฮวามาก ส่วนเสี่ยวฮวาก็ทำตัวใกล้ชิดเกินไป แบบนี้ไม่สอดคล้องกับเรื่องการรักษาระยะห่างระหว่างคนไข้กับหมอ ฉันกลัวว่าอีกหน่อยถ้าคนไข้มีอารมณ์แปรปรวน หลิวเสี่ยวฮวาจะไม่มีความสามารถในการรับมือได้”
สาเหตุที่โรคภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่งถูกเรียกว่านักฆ่าจิตแพทย์ก็เพราะผู้ป่วยโรคนี้จะมีนิสัยชอบเกาะติดคน ระหว่างการรักษาจะมีการล้ำเส้นเรื่องระยะห่างกับหมอ จนสุดท้ายการรักษาไม่สามารถดำเนินต่อได้ และโรคนี้ก็เป็นโรคจิตเวชที่ต้องใช้เวลาในการรักษายาวนานกว่าจะหาย ศาสตราจารย์หลิวรู้จักลูกศิษย์คนนี้ดีว่าความสามารถยังไม่เก่งพอที่จะรักษาผู้ป่วยแบบนี้ได้
เสี่ยวเชี่ยนนิ่งเงียบ เธอรู้ว่าสิ่งที่อาจารย์กังวลเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพียงแต่ตอนนี้หลิวเสี่ยวฮวาจองหองมาก พูดอะไรไปก็ไม่ฟังหรอก
“เขาทำได้ก็ให้เขาทำไป ถ้าต่อไปได้รับผลกระทบอะไรจากการรับรักษาผู้ป่วยแบบนี้จนต้องเปลี่ยนสายงานงั้นก็แล้วแต่เขา ตอนนี้เขาโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็ง ฉันพูดอะไรเขาก็ไม่ฟังหรอก อยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป”
ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกเหนื่อย นักศึกษาที่ตัวเองดูแลมาหลายปีตอนนี้จองหองไม่ฟังใคร เห็นแล้วก็เหนื่อยใจ
เสี่ยวเชี่ยนไม่พูดอะไร
แต่เธอเข้าใจดี เมื่อถึงเวลาที่รุ่นพี่เสี่ยวฮวาล้มเหลวจริงๆ เธอในฐานะที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันต้องตามช่วยเก็บกวาดแน่นอน
มีบันทึกไว้ในเว็บขนาดนั้น แถมยังเรียกคนสนใจได้มากมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ดีต้องส่งผลถึงชื่อเสียงของอาจารย์แน่ เสี่ยวเชี่ยนรีบคิดหามาตรการแก้ไข
“ฉันไม่เคยห่วงเรื่องความสามารถของเธอ ฉันแค่กลุ้มที่เธอชอบทำเอื่อยเฉื่อย…เอาเป็นว่า ตอนนี้รุ่นพี่เธอทำฉันปวดหัวมากพอแล้ว เธอก็อย่าทำให้ฉันเหนื่อยแล้วกัน วันมะรืนต้องทำตามที่ฉันบอกเข้าใจไหม?” ศาสตราจารย์หลิวกำชับเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนวางสายพลางมองรอยจ้ำแดงๆอย่างระอา ถึงตอนนั้นเอาคอนซีลเลอร์ป้ายก็แล้วกัน ตอนนี้อาจารย์มีเรื่องให้หงุดหงิดพอแล้ว เธออย่าไปยั่วโมโหดีกว่า
เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางเห็นว่าหลังจากที่ศาสตราจารย์หลิววางสายแล้วได้ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
คิดแล้วก็ยังไม่วางใจ ศาสตราจารย์หลิวจึงกดโทรไปเบอร์หนึ่ง “ฮัลโหล ฉันเองนะ เธอแน่ใจนะว่าสุดสัปดาห์นี้เหล่าชีจะไปที่ข้าวซันน่ะ?”
“วางใจได้เลยเหล่าหลิว เท่าที่ฉันสังเกตดู หลังจากที่ศาสตราจารย์ชีกลับมาทุกปีจะไปไหว้บรรพบุรุษที่ข้าวซัน พอเขาไหว้เสร็จฉันก็ชอบเชิญเขามาบรรยายที่โรงพยาบาลเรา ปีนี้เขาก็น่าจะรับปากมานะ”
“ดี เรื่องนี้เธอทำดีมาก”