“อะไรล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนยกแก้วชาขึ้นมาจิบพลางอ่านหนังสือต่อ
“เขาบอกว่าเขาเพิ่งแต่งงาน ตอนเข้าเรือนหอสามีเขาเรียกพวกเพื่อนมาเวียนกัน…ทำอย่างนั้นกับเขา”
“พรวด” เสี่ยวเชี่ยนสำลักพ่นชาออกไป เธอรีบเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดหนังสือ
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นนะ เขายังเขียนอีกว่าถูกสามีทำร้ายทุกวัน แถมยังคิดจะฆ่าเขา เวลาเขาออกจากบ้านจะมีคนสะกดรอยตาม พอเขาลองหนีจะกลับไปที่บ้านแม่ตัวเอง พอถูกสามีจับได้สามีก็ไปเรียกผู้ชายมาหลายคนแล้วเวียนกัน…ทำอย่างว่า ทั้งยังจับเขามัดทำร้ายร่างกายด้วย”
หลิวเหมยอ่านแล้วก็ร้อนใจเหมือนถูกไฟแผดเผา นั่นเพื่อนเธอเลยนะ
เสี่ยวเชี่ยนสำลักไออยู่นาน พอเสี่ยวเชี่ยนหยุดไอหลิวเหมยก็มองด้วยสีหน้าเครียดๆ ตอนนี้เธอเครียดมากคิดแต่ว่าทำไงดี
“อ่อ พรุ่งนี้กินไรดี?” เสี่ยวเชี่ยนฟังจบก็ถามขึ้น หลิวเหมยยืนขึ้นเดินไปเดินมา
“พี่สะใภ้นี่มันเวลาไหนแล้วยังห่วงเรื่องกินอีกเหรอคะ? ฉันกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องร้อนใจกันจะตายอยู่แล้ว ทุกพากันทั้งข้อความข้างใต้หาทางช่วย เมื่อกี้ฉันลองโทรหาเพื่อนคนอื่นด้วยว่าจะหาทางช่วยยังไงดี”
เสี่ยวเชี่ยนมองบน “เห็นเธอเป็นแบบนี้คงไม่มีอารมณ์ทำอาหารเช้าแล้วสินะ งั้นพรุ่งนี้ออกไปกินข้างนอกกัน ได้ยินว่าร้านโจ๊กใต้ตึกมีโจ๊กเย็นด้วย อากาศแบบนี้กินโจ๊กเย็นเหมาะที่สุด”
“พี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้ ขอยืมสองมือน้อยๆของเธอ~ ฝังเจ้าวายร้ายนั่นไปก่อน” เสี่ยวเชี่ยนยังร้องเพลงออกมาได้
หลิวเหมยอยากจะบ้า นี่เธอกำลังซีเรียสนะ ทำไมพี่สะใภ้เป็นแบบนี้
“เพลงนี้นะ เป็นเพลงที่ทหารของพี่เธอร้องให้ตอนที่พี่เธอขอพี่แต่งงาน ตอนที่พี่ได้ยินเกือบหลุดขำ เพลงนี้มันเหลือเกินจริงๆ พี่เข้าใจแล้วว่ามีครูฝึกทหารแบบไหน ทหารก็เป็นแบบนั้น อีคิวอย่างพี่เธอคงไม่ได้ทำให้ทหารของเขามีอีคิวเพิ่มขึ้นได้หรอก”
เสี่ยวเชี่ยนแฉ จนถึงตอนนี้เธอยังจำบรรยากาศในตอนนั้นได้ดี ใครจะลืมลง
“อีคิวพี่หลางต่ำเหรอ ฉันว่าก็พอไหวอยู่นะ…เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พวกเราคุยอะไรกันอยู่?” หลิวเหมยกลุ้มใจ เธอถูกพี่สะใภ้พาออกนอกเรื่องอีกแล้ว
“พูดถึงเพื่อนเก่าเธอ เขาเขียนในหน้าคิวคิวของตัวเองว่าสามีเขาเรียกเพื่อนมาข่มขืน จากนั้นเขาก็ถูกสามีตามติดทุกฝีก้าวคิดจะฆ่าทิ้ง เธอร้อนใจมาก”
“ใช่ๆๆ เรื่องนี้แหละ ทำใงดี”
“ทำไงดี ดูตัวเองซิ แค่พี่พาออกนอกเรื่องหน่อยเธอก็คล้อยตาม คนอื่นพูดอะไรเธอก็เชื่อ ไม่ใช่แค่เธอนะ ยังมีพวกเพื่อนรุ่นเดียวกับเธอด้วย พอได้อ่านเรื่องนี้ก็ร้อนใจกันใหญ่ ไม่ได้ใช้สมองคิดกันก่อนเลย”
“พวกเราคิดแล้วนะ พวกเราช่วยคิดหาวิธีแล้ว ถ้าแจ้งตำรวจหลักฐานไม่พอแน่ เพราะเรื่องที่เวียนข่มขืนเกิดมานานแล้ว คงหาหลักฐานไม่ได้ งั้นพวกเราฟ้องผู้ชายคนนี้ใช้ความรุนแรงในครอบครัวดีไหม พี่สะใภ้…ทำไมพี่นั่งกินผลไม้ล่ะ”
ฟ้าจะถล่มแล้วพี่สะใภ้ยังนั่งสบายใจอยู่ได้อีก
“ลูกท้อเมืองนี้หวานสู้ของบ้านเกิดพี่ไม่ได้เลยนะ วันอาทิตย์ให้ฟู่กุ้ยเอามาเยอะหน่อยแช่ไว้ในตู้เย็น เดี๋ยวพี่กลับบ้านช่วงปิดเทอมจะไปกินให้หนำใจเลย” เสี่ยวเชี่ยนนั่งกินไปวิจารณ์ลูกท้อไป
“พวกเพื่อนในห้องนัดกันไว้ว่าวันอาทิตย์จะกลับไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้กัน ไม่วางใจเลย ดูท่าต้องเลื่อนเวลาไปคาราโอเกะของฉิวฉิวแล้ว”
“เธอบอกเรื่องนี้กับฟู่กุ้ยหรือยัง?” เธอไม่เชื่อว่าเรื่องที่เธอดูออกว่าเป็นไงแล้วฟู่กุ้ยจะดูไม่ออก
เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ฟู่กุ้ยจัดการแล้วกัน จะว่าไปก็ไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว
“ยังไม่ได้บอกเลย ใช่ ฉันต้องโทรหาพี่เขา” หลิวเหมยรีบกดโทรหาฟู่กุ้ย แทบจะมีคนรับในทันที
“พี่ฟู่กุ้ย เกิดเรื่องแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้าแล้วหยิบหนังสือมาอ่านต่อ นิสัยหลิวเหมยเหมือนเด็กใจร้อนจริงๆ
ดูเหมือนคนที่ฝึกศิลปะป้องกันตัวจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ฟู่กุ้ยอาจชอบแบบนี้เป็นพิเศษ
กว่าเสี่ยวเชี่ยนจะปิดหนังสือเวลาก็ผ่านไปหลายนาทีแล้ว การเล่าเรื่องของหลิวเหมยมาถึงช่วงสุดท้าย
“…เรื่องก็ประมาณนี้ พวกเพื่อนในห้องเลยจะรวมตัวกันไปเยี่ยมเขา เป็นห่วงกันหมด ถ้าเขาเจอเรื่องแบบนี้จริงพวกเราต้องช่วยเขาออกจากผู้ชายเลวคนนั้นให้ได้ คุณพระช่วย น่ากลัวมาก”
เสี่ยวเชี่ยนเก็บหนังสือ นั่งไขว่ห้างมองเวลา จึ๊ๆ ผ่านไปสิบนาที ฟู่กุ้ยเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ อดทนเก่งมาก
ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ คิดถูกแล้วที่ยกหลิวเหมยให้ดูแล วางใจได้แล้วงานนี้
“หลิวเหมยเธอใจเย็นๆนะ ฟังพี่พูด วันอาทิตย์พวกเราไปด้วยกัน พวกเธอไม่ต้องไปกันหลายคนหรอก พาเชี่ยนเอ๋อไปด้วย เราไปกันสามคนพอ”
“หา? ได้เหรอ?” หลิวเหมยรู้สึกว่าการไปเจอผู้ชายที่เรียกคนมาข่มขืนเมียตัวเองต้องเป็นอะไรที่โหดร้ายมากแน่ อาจถึงกับมีการปะทะทางร่างกาย ทางที่ดีควรยกพวกไปกันหลายๆคน
“ได้สิ เชื่อพี่ พี่ช่วยเธอได้…หลิวเหมย เอาโทรศัพท์ให้เสี่ยวเชี่ยนหน่อยได้ไหม?” ฟู่กุ้ยพูดอย่างนุ่มนวล
หลิวเหมยยื่นโทรศัพท์ให้เสี่ยวเชี่ยน
“ฮัลโหล นายเลี่ยวฟู่กุ้ยว่างมากนักเหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าพี่จะไม่เข้าใจเรื่องนี้” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างเนือยๆ
“พี่รู้ เพื่อนหลิวเหมยอาจเป็นโรคหลงผิด อาการที่หลิวเหมยพูดมาสอดคล้องกับปัจจัยสามอย่างที่ทำให้วินิจฉัยว่าเป็นโรคหลงผิดได้”
โรคหลงผิดเป็นโรคประสาทที่วินิจฉัยง่ายมาก ต่อให้เป็นนักจิตวิทยากลุ่มต่างๆที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่ในเรื่องโรคหลงผิดนั้นล้วนมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ดังนั้นพอเสี่ยวเชี่ยนได้ฟังก็รู้เลยว่าคนๆนี้เป็นโรคประสาท ถ้าไม่ได้เป็นโรคประสาทก็เป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ
ถ้าคนโดนทำแบบนั้นจริงๆไม่ไปแจ้งตำรวจล่ะจะมานั่งพิมพ์ลงโซเชียลให้คนอื่นอ่านทำไม
ฟู่กุ้ยเองก็เข้าใจ
“รู้ว่าเรื่องเป็นไงแล้วยังจะบ้าตามหลิวเหมยด้วย?” เสี่ยวเชี่ยนเจอเรื่องแบบนี้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวเธอก็ไม่คิดจะสนใจเลยแม้แต่น้อย
โลกนี้มีคนเป็นโรคประสาทเยอะแยะ คนมีอาการทางจิตก็มากมาย ถ้าไม่จ่ายเงินเธอก็ไม่สนใจหรอก
“เหมยจื่อจิตใจดี แต่ใจร้อนเหมือนพวกจอมยุทธ์ไปหน่อย พี่อยากเขาเก็บความใสซื่อนี้ไว้”
“จึ๊ๆ ถ้าพี่ทำแบบนี้ต่อไปสักสี่สิบปีหลิวเหมยได้เป็นเหมือนแม่ฉันแน่”
เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการออกเลยว่าหลังจากหลิวเหมยเข้าสู่วัยทองไม่แน่อาจกลายเป็นยายแก่ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบแม่เธอ เที่ยวหวังดีกับคนเขาไปทั่ว วันๆเอาแต่หาเรื่องเม้าท์ คิวแน่นทั้งวัน
“ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นพี่ก็แก่แล้ว รสนิยมพี่เหมือนพ่อ”
“…” ประธานเชี่ยนรู้สึกหมั่นไส้ แหวะ
แต่มาคิดดูดีๆ ตรรกะก็ได้อยู่นะ มีหลายจุดที่ฟู่กุ้ยคล้ายอาเลี่ยว ดังนั้นไม่แปลกที่จะชอบหลิวเหมย สองคนนี้เหมาะสมกันจริงๆ
“เชี่ยนเอ๋อ ถึงตอนนั้นไปด้วยกันสิ อำเภอข้าวซันก็อยู่ไม่ไกล”
“ไม่เอาหรอก อาทิตย์นี้ฉันยังมีธุระ” ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคนไข้โรคประสาท ไม่มีอะไรท้าทายเธอไม่ไปหรอก
“เชี่ยนเอ๋อ…”
“เลิกเวิ่นเว้อได้แล้ว ฉันไม่ไปแน่นอน”
“ก็ได้ พี่ไม่บังคับ”
พอเสี่ยวเชี่ยนวางสายไปได้สิบนาทีศาสตราจารย์หลิวก็โทรมา
“ใกล้ถึงสุดสัปดาห์แล้ว เธอไปช่วยงานที่ศูนย์บำบัดจิตใจที่อยู่เมืองข้างๆหน่อย มีคนไข้ขอหมอผู้หญิงมา”