จากนั้นติงเมิ่งเหยนถึงจะเข้าใจว่าทำไมเจียงชื่อถึงโกรธขนาดนี้ เพราะน้องชายของเขาที่เสียไปแล้วแต่ยังถูกดูหมิ่นแบบนี้ ซึ่งก็ทำให้เจียงชื่อไม่สามารถทนรับได้จริงๆ
เฉิงไห่พูดว่า “เข้านี้ผมได้รับสายโทรเข้าจากสายที่ไม่รู้จัก เขาบอกให้ผมมาไหว้สุสานที่นี่ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งผมมาถึงที่นี่ถึงจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร”
“แล้วเขาพูดอะไรอีกไหม?”
เฉิงไห่ได้แต่ส่ายหัว “ไม่เลยครับ”
“ไม่ได้ต้องการเงินเหรอ?”
“ไม่ครับ”
ถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน นั่นก็แสดงว่าเป็นการแก้แค้น ซึ่งคนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเจียงชื่อและยังรู้ที่อยู่หลุมฝังศพของเจียงโม่นั้นมีไม่มาก แค่คิดก็รู้ว่าเขาเป็นใคร
บริษัทเทียนติ่ง!
ในเวลานี้ เจียงชื่อเห็นจดหมายฉบับหนึ่งบนก้อนหินในหลุมฝังศพที่ถูกขุดออก
“หืม?”
เขาจึงกระโดดลงไปเพื่อเก็บจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาและเปิดอ่านทันที ในจดหมายนั้นเขียนไว้ว่า ‘อยากได้ขี้เถ้าคืนไหม? พรุ่งนี้มาเจอกันที่ล็อบบี้โรงแรมโรงแรมลู่ไห่ อินเตอร์เนชั่นแนลในเวลาเก้าโมงเช้า’
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ระบุตัวตนของเขา แต่โรงแรมลู่ไห่ อินเตอร์เนชั่นแนลนั้นเป็นกิจการของบริษัทเทียนติ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้
เจียงชื่อกระโดดออกจากหลุมและค่อยๆ เดินออกไป
“ชื่อ คุณจะไปไหน?” ติงเมิ่งเหยนถามด้วยความกังวลและความกลัว
“ผมไปทำธุระ”
เมื่อเห็นการจากไปของเจียงชื่อ ติงเมิ่งเหยนรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก เพราะในเวลานี้เจียงชื่อถูกความโกรธครอบงำไปแล้ว เธอกลัวว่าเขาอาจทำอะไรที่ขาดสติได้
เธอจึงตะโกนพูดว่า “ชื่อ คุณใจเย็นก่อนสิ เราไปแจ้งความกันก่อน!”
แต่เจียงชื่อไม่ได้ตอบเธอ ได้แต่เดินจากไปคนเดียวอย่างช้าๆ
คนที่กล้าขุดหลุมฝังศพของเจียงโม่และยังกล้านำขี้เถ้าเป็นเครื่องมือในการล่อเจียงชื่อให้ไปหาถึงที่ เจียงชื่อจะทำให้พวกเขาได้รู้ว่าอะไรคือการแกว่งเท้าหาเสี้ยน!
เฉิงไห่ถอนหายใจและพูดว่า “ไม่ต้องตะโกนหรอกครับ เรื่องที่คุณชายใหญ่ตัดสินใจไปแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรอกครับ อีกอย่าง เหตุการณ์ครั้งนี้มันร้ายแรงมาก คุณชายใหญ่ต้องขอคืนความเป็นธรรมให้กับคุณชายรองอย่างเต็มที่แน่นอนเลยครับ”
“แต่นี่มันกับดักชัด ๆ นะ!” ติงเมิ่งเหยนพูดอย่างกังวล
“เป็นกับดักก็จริง แต่คุณชายใหญ่ไม่ได้ซื่อขนาดนั้นหรอกครับ เราเชื่อใจเขาเถอะ”
ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ฉะนั้นเลือกที่จะเชื่อในตัวของเจียงชื่อดีกว่า และนี่เป็นสิ่งเดียวที่เฉิงไห่กับติงเมิ่งเหยนสามารถทำได้ในเวลานี้
……
ณ สำนักงานใหญ่ของผู้บริหารระดับสูงในเขตเจียงหนาน
เจียงชื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสำนักงานและถือจดหมายในมือ ส่วนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือมู่หยางอี
หลังจากเป็นผู้ติดตามของเจียงชื่อมาหลายต่อหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หยางอีได้เห็นเจียงชื่อโกรธมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะโกรธมากกว่าการที่เสียพี่น้องร่วมรบในสนามรบไป
แล้วใครกันที่กล้าเล่นกับไฟแห่งสายฟ้า?
หลังจากเงียบไปสักพัก เจียงชื่อก็พูดขึ้นว่า “มู่หยางอี เรียกตัวกองเทพพิชิตฟ้าและกองทองสี่นายให้ไปกับผมในวันพรุ่งนี้”
ศัตรูต้องทรงพลังแค่ไหนถึงต้องเรียกตัวกองเทพพิชิตฟ้ากับกองทองสิบสองปีนักษัตรพร้อมกันแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้นคือกองทองสี่นายเลยนะ
แม้แต่สงครามในเวสเตอร์แลนด์ยังไม่ใช้ทรัพยากรที่เยอะขนาดนี้เลย
ซึ่งเห็นได้ชัดแล้วว่าครั้งนี้เจียงชื่อโกรธถึงขีดสุดแล้วจริงๆ
มู่หยางอีพยักหน้าตอบ “ผู้ใต้บังคับบัญชารับทราบและจะปฏิบัติทันทีครับ”
“อืม คุณลงไปก่อน”
มู่หยางอีหันหลังแล้วเดินออกจากสำนักงานอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาปฏิบัติตามคำสั่งของเจียงชื่อและเลือกกองทองที่นายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้ด้วยตัวเขาเอง
ในสำนักงานนั้น เหลือเพียงเจียงชื่อเพียงคนเดียว
เขาขมวดคิ้วแล้วดูจดหมายอีกครั้ง
รู้สึกว่า……
การเคลื่อนไหวของบริษัทเทียนติ่งในครั้งนี้มันช่างแตกต่างกับครั้งก่อนจริงๆ
แม้จะบอกไม่ได้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร แต่ความประสงค์ร้ายทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือเบื้องหลังที่ดูเหมือนมีอะไรที่น่ากลัวซ่อนอยู่
ในขณะนี้เจียงชื่อรู้สึกว่าเขาได้เดินอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด
และในความมืดมิดนั้น นอกจากฝูงหมาป่าที่จ้องเขม็งจะเล่นงานเขา ยังมีลูกศรอันแหลมคมที่เล็งเข้ามาที่ตัวเขาอีกด้วย