วันหนึ่งผ่านไปในพริบตา
เช้าวันรุ่งขึ้น
รถยี่ห้อลินคอล์นสีดำมากมายขับเข้าไปจอดอยู่ตรงหน้าโรงแรมลู่ไห่ อินเตอร์เนชั่นแนล จากนั้นชายชุดดำนับร้อยคนที่ไว้ทรงผมสั้นได้ลงมาจากรถ ซึ่งชายฉกรรจ์เหล่านี้ทุกคนต่างก็มีออร่าแห่งการสังหารในตัว
และคนทั้งหมดนี้จะมีผู้นำอยู่สี่คนด้วยกัน
ได้แกพฤษภ ตุลย์ ธนู และกรกฏแห่งกองทองสิบสองปีนักษัตร
จากนั้นฝูงชนแยกออกจากกัน เจียงชื่อค่อยๆ เดินออกมาจากท่ามกลางคนเหล่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองชื่อของโรงแรมและพาคนทั้งหมดเข้าไปด้านใน
กลุ่มคนจำนวนมากเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม
แต่โรงแรมกลับว่างเปล่า
ราวกับจะต้อนรับการมาถึงของเจียงชื่อและคนของเขา ซึ่งบริเวณทั้งล็อบบี้ของโรงแรมไม่มีใครสักคนอยู่เลย
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกับดักที่ได้เตรียมตัวมาอย่างดี
หรืออาจจะบอกได้ว่าเป็น ‘กลยุทธ์เปิดเผย’ เลยก็ได้
ทุกคนต่างประสานมือกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ พวกเขาต่างก็คิดว่าศัตรูต้องตระหนักถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ และได้เตรียมคนมากมายเพื่อซุ่มโจมตีกันแล้ว
แต่สรุปคือ……
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถือจดหมายฉบับหนึ่งแล้วเดินเข้ามาหาเจียงชื่อด้วยตัวที่สั่นเทา
เธอยื่นจดหมายให้กับเจียงชื่ออย่างสั่นไปทั้งตัว
“ของ ของคุณค่ะ”
หืม?
ทุกคนต่างตกตะลึง
จดหมายฉบับแรกของศัตรูคือการให้เจียงชื่อมาที่นี่ แล้วพวกเขาไม่ได้ตั้งใจวางตาข่ายกับดักเพื่อจะรอซุ่มโจมตีเจียงชื่อหรือ?
ทำไมถึงมีจดหมายฉบับที่สอง?
เจียงชื่อถึงจะมั่นใจอีกครั้งว่า ศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่ระดับเดียวกันกับที่เขาเคยเจอมาก่อน
หรือว่าบริษัทเทียนติ่งยังมีคนเก่งคนอื่น?
เขาเอื้อมมือไปหยิบจดหมายมา และหลังจากเปิดอ่านแล้วเขาก็เห็นประโยคเดิมๆ ว่า ‘ให้เขาออกจากหลังโรงแรมแล้วขึ้นรถคันที่พวกเขาเตรียมไว้เพียงลำพัง’
“เหอะ ๆ”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายได้ทำการบ้านมาอย่างดี พวกเขาต้องรู้ว่าเจียงชื่อมีลูกสมุนยอดฝีมือมากมาย จึงไม่เลือกที่จะเผชิญหน้ากันอย่างซึ่งๆ หน้าและเลือกที่จะขอให้เจียงชื่อออกไปตามลำพัง
แล้วเจียงชื่อจะกลัวไหม?
ไม่มีทาง
เขาโยนจดหมายทิ้งแล้วสั่งให้ทุกคนสแตนด์บายอยู่ที่เดิม ส่วนเขาก็เดินออกจากหลังโรงแรมและได้เห็นรถคันสีขาวจอดอยู่ที่ประตู
จากนั้นเขาเปิดประตู ขึ้นรถ และรถก็ขับออกไป
ในเวลานี้ซุนหย่งเจินกับซีเหมินจุ้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องลับเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทั้งสองได้เฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของซุนจ้ายเย้นอย่างใกล้ชิด
ตามความคิดของพวกเขาแล้ว ล่อให้เจียงชื่อกับคนของเขามาติดกับที่ล็อบบี้ของโรงแรมแล้วจัดการทีเดียวก็สิ้นเรื่อง
แต่ไม่คิดเลยว่าทำไมซุนจ้ายเย้นถึงต้องพาตัวเจียงชื่อออกไปให้ยุ่งยาก
“น้องชาย พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเองทำอะไรอยู่”
ซุนจ้ายเย้นหัวเราะอย่างเย็นชา “คนโง่อย่างคุณไม่มีวันเข้าใจอยู่แล้ว”
ซุนหย่งเจินแทบจะระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่โชคดีที่ซีเหมินจุ้นห้ามเขาเอาไว้
ซุนจ้ายเย้นพูดต่อ “ลืมตาโง่ๆ ของคุณดูคนกลุ่มนั้นที่เจียงชื่อพามาให้ดี พวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหาร แววตาของทุกคนก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของการต่อสู้ ไม่มีคนธรรมดาแม้แต่คนเดียว ถ้าเทียบกับไอ้พวกนักเลงกระจอกของคุณ ต่อให้มีมากกว่าคนของเขาสองสามเท่าก็ไม่มีปัญญาสู้กับเขาได้หรอก!”
“อีกอย่าง หลุมศพของน้องชายเจียงชื่อเพิ่งถูกขุดออก ตอนนี้ในใจเขาโกรธจนลุกเป็นไฟ นี่เป็นช่วงเวลาที่ความโกรธของเขารุนแรงที่สุด ถ้าเลือกเผชิญหน้ากับเขาซึ่งๆ หน้าในตอนนี้ คุณก็จะถูกความโกรธของเขากลืนกินอย่างเดียว”
“รู้จักคำว่า ‘รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง’ ไหม?”
“ที่ผมต้องการก็คือเจียงชื่อที่มาด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่า ไม่ได้ระบายออกมา แล้วจะได้รู้ว่าน้ำเย็นมันสยบความร้อนได้”
การวางแผนของซุนจ้ายเย้นนั้นลึกซึ้งมาก
เมื่อมีเขาบงการอยู่เบื้องหลัง เจียงชื่อก็ต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างปฏิเสธไม่ได้
ในอีกด้านหนึ่ง
รถที่เจียงชื่อนั่งอยู่ก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ในเวลานี้ คนขับรถได้ปล่อยเจียงชื่อไว้ที่หน้าปากซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง