ประตูหอบรรพบุรุษไม่ได้ปิดสนิท เมื่อมีลมพัดมา ประตูก็เปิดออก
ใบไม้ที่แห้งเหี่ยวถูกลมพัดปลิวเข้ามาทางรอยแตกของประตู ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ
ซ่า…..
ลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าของติงจ้ง ปลุกเขาให้ตื่นจากสภาวะงงงันทึ่มทื่อ เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หันไปมองเจียงชื่อด้วยความงุนงง
น่าแปลกใจอะไรอย่างนี้
ในใจของเขาไม่ได้เกิดความรู้สึกผันผวนมากนัก ทั้งไม่มีความรู้สึกตื่นตระหนกด้วย
เขาในเวลานี้ เป็นเหมือนกับคนที่เดินอยู่บนถนนสายหลักสักสายหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถูกรถบรรทุกที่วิ่งมาเต็มความเร็วพุ่งชนเข้าอย่างจัง
ตัวเขาสับสนแล้ว ในหัวสมองก็สับสนไม่ต่างกัน
เหมือนกับว่าโลกใบนี้ตัดขาดจากเขาไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาไม่รู้อะไรเลย ทั้งยังคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง
เขาลืมคิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่
ดวงตาคู่นั้นสับสนมึนงง สภาพเหมือนคนตายที่ร่างยังเดินได้แต่ไร้วิญญาณ
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ภาพฉากมากมายก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสมองของติงจ้ง
เขาหวนนึกถึงภาพฉากที่เจียงชื่อได้ช่วยติงเมิ่งเหยนเซ็นสัญญาครั้งใหญ่ หวนนึกถึงฉากที่เจียงชื่อหลบหนีจากสถานการณ์อันตรายได้อย่างปลอดภัย หวนนึกถึงฉากที่เจียงชื่อหลบหนีจากหายนะได้ อีกทั้งยังแก้ปัญหาวุ่นวายจนสำเร็จได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ติงจ้งในอดีต ครั้งหนึ่งเคยถูกความเกลียดชังบดบังดวงตาทั้งสองข้างจนมืดบอด
เขาคิดว่า ทั้งหมดที่เจียงชื่อทำได้เป็นเพราะแค่โชคดีเฉยๆ แต่แท้ที่จริง ขอแค่นั่งลงแล้วลองคิดไตร่ตรองเงียบๆ สักพัก ก็จะพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่ใช่เรื่องที่จะใช้แค่คำว่า ‘โชคดี ‘ มาอธิบายได้ง่ายๆ แล้วจบไปแค่นั้นหรอก
แต่ไหนแต่ไรมา ติงจ้งไม่เคยเต็มใจมองเจียงชื่อด้วยสายตาที่ประเมินเขาไว้ในระดับสูงเลยสักครั้ง ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ถูกเจียงชื่อจูงจมูกเดินอยู่เสมอนั่นเอง
ถ้าเอาแต่ปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ของคุณ แล้วจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของคุณได้ยังไงล่ะ?
ตอนนี้ ต่อให้ติงจ้งไม่อยากเผชิญหน้าก็ทำไม่ได้ซะแล้ว
“เขตเจียงหนาน ผู้บริหารระดับสูง?”
ในดวงตาของติงจ้ง ไม่หลงเหลือความกล้าหาญอยู่แม้แต่น้อยนิด สภาพเขาไม่ต่างกับเครื่องจักร ทำได้แค่แอบชำเลืองมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างเงียบๆ
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า เขาไม่รู้จักผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เลยจริงๆ
คุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้า
ใช่สิ มีแค่สถานะของผู้บริหารระดับสูงของเขตเจียงหนานเท่านั้น ถึงจะสามารถทำทั้งหมดนี้ได้
ใช่แล้ว มีแค่สถานะของผู้บริหารระดับสูงของเขตหนานเจียงเท่านั้น ที่จะสามารถได้รับธงสดุดีสูงสุดถึงสามผืน
ยิ่งเวลาผ่านไป บนใบหน้าของติงจ้งก็ค่อยๆ เหลือแค่ความขมขื่นให้เห็น
น้ำตาไม่รักดีที่คลออยู่ในดวงตา ก็พากันไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
ติงจ้งนอนคว่ำลงไป ใช้มือทั้งสองข้างทุบพื้นแรงๆ “ทำไม? ทำไมความจริงมันถึงเป็นแบบนี้?”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เจียงชื่อพูดมาทั้งหมด ล้วนเป็นความจริงทุกประการ
เจียงชื่อไม่ได้สนใจทรัพย์สินเงินทองเล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลติงของพวกเขาจริงๆ
ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของเขตเจียงหนาน ไม่ว่าอะไรที่เจียงชื่ออยากได้ล้วนมีให้ครบถ้วน รายได้สุทธิยากที่จะประเมิน แล้วเขาจะถูกล่อลวงด้วยผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลติงได้ยังไงล่ะ?
ติงจ้งเดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะสลับกันไปมาพักใหญ่
เขาสติแตกไปแล้ว
” ฉันเฝ้าระวังป้องกันมาตั้งนานขนาดนี้ สรุปแล้วฉันป้องกันอะไรกันแน่ ”
“ผู้บริหารระดับสูงของเขตเจียงหนาน?”
“ฮะๆ …ฮ่าๆๆๆๆ ฉันป้องกันผู้บริหารระดับสูงของเขตเจียงหนานเหรอเนี่ย? พระเจ้าช่วย! นี่นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่หรือไง? ”
หลังผ่านความพยายามมาเนิ่นนาน กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์
อีกทั้งคนที่ควรถูกสงสัยจริงๆ กลับเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากติงจ้งแทน นี่มันช่างเป็นเรื่องตลกร้ายน่าหัวเราะประชดประชันให้ฟันร่วงสิ้นดี
หลังจากผ่านไปอีกครู่ใหญ่
ติงจ้งเช็ดน้ำตา พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำแหบเครือในลำคอว่า “เจียงชื่อ ท่านผู้บริหารระดับสูง ช่างล้อฉันเล่นได้ใหญ่โตน่าดูเลยนะ”
“เห็นๆ อยู่ว่ามีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรีสูงส่งตั้งเท่าไหร่ เอ่ยปากคำเดียวก็มีคนตอบรับเป็นร้อย แต่กลับมาเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลติงของพวกเรา นี่นายทำไปเพื่ออะไรกันแน่?”
เจียงชื่อมองไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน
“เพื่อ…ความรัก”
ใช่แล้ว เหตุผลเดียวที่เขายังคงรั้งอยู่ในตระกูลติงมีแค่คำเดียวจริงๆ นั่นคือคำว่า… รัก ความรักที่เจียงชื่อมีต่อติงเมิ่งเหยน เรียกได้ว่าเป็นรักที่ลึกซึ้งจนเข้าไปถึงกระดูกเลยทีเดียว ในความคิดของเขา ถ้าเพื่อติงเมิ่งเหยนแล้ว เขาสามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
กับแค่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยแต่งเข้า จะนับเป็นอะไรได้ ?
จู่ๆ ติงจ้งก็ผุดลุกขึ้นยืนแบบกะทันหัน “ถ้างั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตน แล้วมาจงใจปั่นหัวฉันเล่นแบบนี้ก็ได้มั้ง?!”
เจียงชื่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : ” ผมไม่ได้ปิดบังตัวตน ผมจำได้ว่าผมเคยบอกพวกคุณทุกคนตั้งแต่วันแรกที่กลับมาแล้วนะ ว่าสถานะของผมที่เวสเตอร์แลนด์คือ เทพแห่งสงครามชูร่า ดูเหมือนว่าพวกคุณจะไม่เชื่อกันเองไม่ใช่เหรอ? ”
เทพแห่งสงครามชูร่า!
ติงจ้งหรี่ตาครุ่นคิด คล้ายมีท่าทางประทับใจเล็กน้อย
“เทพแห่งสงครามชูร่า ? มันคืออะไรกันแน่?”
เจียงชื่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า : “ออก ตก เหนือ ใต้ สี่สนามรบ แต่ละสนามรบต่างก็มีผู้บัญชาการทั้งน้อยใหญ่สิบกว่านายประจำการอยู่ มีรองผู้บัญชาการกว่าร้อยนาย พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจการสั่งการของจ้านยู่ระดับสูง ท่ามกลางจ้านยู่ระดับสูงของแต่ละสนาม นอกจากมีหน้าที่รับผิดชอบศูนย์กลางการป้องกันภายในประเทศแล้ว ตำแหน่งสูงสุดจะถูกเรียกว่า “เทพแห่งสงคราม” ส่วน “ชูร่า” เป็นฉายาพิเศษเพียงหนึ่งเดียวของตำแหน่งที่ว่ามา
ติงจ้งฟังจนรู้สึกสับสนมึนงงขึ้นมาแล้ว
เจียงชื่ออธิบายแบบง่ายๆ : “พูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยก็คือ ศูนย์กลางการป้องกันภายในเทียบได้กับกรรมการบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเทพแห่งสงครามชูร่า คือประธานกรรมการของบริษัทนี้ แต่ละผู้บัญชาการ คือรองประธานระดับ VP ในบริษัท รองผู้บัญชาการ คือหัวหน้าของแต่ละแผนกภายในบริษัท ตอนนี้เข้าใจรึยัง?”
พูดแจกแจงซะจนละเอียดขนาดนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็เรียกว่าไอ้โง่ได้แล้วล่ะ
ติงจ้งสรุปโดยรวมว่า “งั้นก็พูดได้ว่า ถ้านายเป็นประธานบริษัทแห่งหนึ่ง ถังแหวนโม่ก็เป็นแค่หัวหน้าแผนกของบริษัทนั้นสินะ?”
“ถูกต้อง”
ชั่วขณะนั้น ติงจ้งถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เขาประจบประแจงอีกฝ่ายมาตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้าเจียงชื่อก็ถึงกับอ่อนน้อมถ่อมตนขนาดนั้น
ช่างน่าขบขัน น่าเศร้ารันทดสิ้นดี!
ติงจ้งถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ฉันน่ะนะ วันๆ เอาแต่คิดหาทางว่าจะทำยังไงให้ผู้บริหารระดับสูงคนใหม่พอใจได้ ถึงขั้นส่งคนไปสอบถามทุกวัน เผชิญหน้ากับพวกเจ้าหน้าที่ข้าราชการพวกนั้นไม่หยุด ระวังแล้วระวังอีก”