ถนนเชียนเหอ เลขที่ 191 เครื่องประดับดาวฤกษ์สาขาเขตเจียงหนาน
นี่คือสาขาที่เครื่องประดับดาวฤกษ์ก่อตั้งขึ้นในเขตเจียงหนานเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยได้สังเกตสถานการณ์เฉพาะด้านในเขตเจียงหนานมาตลอด เพียงแต่เป็นแค่การสังเกต แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม
ด้านหนึ่ง เป็นเพราะท่านทวดเป็นพวกอนุรักษ์นิยมรุ่นเก่าที่หัวโบราณ ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ภายในประเทศนัก จึงต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ระดับหนึ่ง
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเริ่มเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว
วันนี้ฉีเจิ้นนัดเจียงชื่อมาพบ ฉากหน้าเป็นเหมือนเพื่อนเก่าสองคนนัดกันเพื่อพูดคุยสังสรรค์ แต่ในความเป็นจริง คือการหารือกันเกี่ยวกับการขยายธุรกิจเครื่องประดับในเขตเจียงหนาน
เชื่อว่าเจียงชื่ออยู่ในเขตเจียงหนานมานานขนาดนี้แล้ว เขาคงต้องรู้ดีกว่าฉีเจิ้นแน่ๆ
ติ๊ดๆ
เจียงชื่อจอดรถในที่จอด แล้วสาวเท้าก้าวเดินไปยังทางเข้าร้านเครื่องประดับดาวฤกษ์
ตามที่ฉีเจิ้นพูดทางโทรศัพท์ งานเลี้ยงได้เตรียมไว้บนชั้นสองแล้วในเวลานี้ แค่กำลังรอให้เจียงชื่อมาเท่านั้น
เดิมทีเจียงชื่อเดินเข้ามาอย่างมีความสุข ได้เจอเพื่อนเก่าทั้งที ย่อมเป็นเรื่องที่คุ้มค่าพอจะทำให้มีความสุขมากๆ อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม กลับมีเรื่องที่ทำให้เขาเหนือคาดมาก นั่นคือเมื่อเขาเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู เขากลับถูก รปภ. หยุดไว้ไม่ให้เข้า
วันนี้การรักษาความปลอดภัยค่อนข้างเคร่งเครียด
ประธานกรรมการสำนักงานใหญ่ของมิลานมาที่นี่ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาข้างใน
เฉพาะผู้มีสถานะระดับแขกผู้ทรงเกียรติเท่านั้น ที่พอจะมีสิทธิ์เข้าไปได้
คนที่แต่งตัวเรียบง่ายอย่างเจียงชื่อ ในสายตาของ รปภ.แล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับแขกผู้ทรงเกียรติหรอก เรียกว่าแม้แต่คนธรรมดาก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือก็คือมีสภาพที่ดีกว่าขอทานขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้นเอง
ไม่ต้องพูดถึงเวลาสำคัญแบบนี้ ต่อให้เป็นเวลาปกติ ก็ยังมีสิทธิ์โดน รปภ.หยุดเอาไว้อยู่ดี
รปภ. มองสำรวจเจียงชื่อขึ้นๆ ลงๆ แล้วยิ้มเย้ยหยัน: ” แกรู้มั้ยว่าที่นี่คือที่ไหน ? อัญมณีชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งของที่นี่ เงินเดือนของแกรวมกันสิบปีก็ยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ รีบไสหัวออกไปซะ”
เจียงชื่อเองก็จนใจจริงๆ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถูกเชิญมากินข้าว แต่ผลสุดท้าย… กลับเจอปิดประตูไม่รับแขกไปซะงั้น?
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ว่า : “ฉันเป็นแขกของประธานฉี นัดกันไว้ว่าจะมากินข้าวที่นี่”
เมื่อได้ยินดังนั้น รปภ. ก็หัวเราะขำไม่ไหว
“โย่ว! นี่แกยังรู้จักประธานฉีของพวกเราด้วยเหรอเนี่ย ? แถมยังจะกินข้าวกับประธานฉีของพวกเราด้วย?”
“ไม่หัดตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาของตัวเองซะมั่งล่ะ? ประธานฉีของพวกเราจะมีเพื่อนที่มีสภาพไม่ต่างจากขอทานแบบแกไปได้ยังไงกัน?”
“ฉันจะบอกแกให้นะว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนพูดแบบนี้ เกือบโดนฉันตีขาหักไปแล้ว ถ้าไอ้กระจอกอย่างแกยังรู้จักมีสำนึก ก็รีบไสหัวออกไปซะ อย่าให้ฉันต้องลงไม้ลงมือ เข้าใจมั้ย?”
รปภ.คนนี้ ช่างไม่รู้จักฟังคำของคนอื่นเอาซะเลย
ตามความเห็นของเขา เจียงชื่อก็แค่คนโกหกปลิ้นปล้อน ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไรกับประธานฉีของพวกเขากันแน่
เจียงชื่อยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า “นายอยากให้ฉันไปจริงๆ น่ะเหรอ?”
“ไร้สาระ รีบไสหัวไปจากที่นี่ซะ!”
” ถ้าฉันไปจริงๆ นายจะเชิญฉันกลับมาอีกครั้งก็ยากแล้วนะ ”
“โย่วๆๆ ! ยังต้องเชิญกลับมาด้วยเหรอเนี่ย? จะสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยแล้วมั้ง? จะไปไม่ไป? ถ้าแกยังไม่ไปอีก ฉันจะตีขาแกให้หักซะ แล้วให้คนมาลากแกออกไป”
เจียงชื่อยักไหล่ หันหลังกลับแล้วเดินออกไป มือก็ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดเบอร์โทรของฉีเจิ้น
หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นสามครั้ง ปลายสายก็กดรับ
เสียงที่กระตือรือร้นของฉีเจิ้นดังมาจากปลายสาย: “เจียงชื่อ นายมาถึงหรือยัง? เดี๋ยวฉันไปรับ”
เจียงชื่อจงใจแกล้งทำน้ำเสียงเหมือนคนน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วพูดออกไปว่า “คนน่ะมาถึงแล้ว แต่เข้าไปไม่ได้น่ะสิ”
“หมายความว่ายังไง?”
“รปภ.ของนายความสามารถร้ายกาจเกินไป สั่งให้ฉันไสหัวกลับไปตรงๆ เลยล่ะ”
“……”
คลิ๊ก! โทรศัพท์ถูกวางสาย
เจียงชื่อเก็บโทรศัพท์ ยกยิ้มสบายๆ จงใจค่อยๆ สาวเท้าก้าวเดินไปอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าฉากต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่เชิงว่าจะลงโทษ รปภ. คนนั้น แต่แค่อยากแกล้งหยอกเขาเล่น
ผลคือ หลังจากเจียงชื่อเดินออกไปได้ยังไม่ถึงห้าสิบเมตร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันรัวเร็วดังขึ้นตามมาข้างหลังแบบถี่ยิบ