ภายใต้การนำของทังเจียเหวินผู้เป็นผู้อำนวยการ ทั้งอาจารย์และนักศึกษาต่างก็ต่อต้านกันอย่างดุเดือด ให้เขารีบออกจากห้องโถง ณ ตอนนี้เลย
กล่าวว่าออกจากถือว่าเป็นการเกรงใจ อันที่จริงสามารถใช้คำว่าไล่ตะเพิดก็ยังได้
เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ เจียงชื่อกลับนิ่งมาก เขามองไปยังทังเจียเหวินอย่างสงบนิ่ง เอ่ยด้วยนำ้เสียงราบเรียบ: “ในเมื่อทุกคนต่างก็ขอร้องให้ผมออกไป ถ้างั้นผมก็จะออกไป ผู้อำนวยการครับ ถ้ามีความต้องการให้ช่วยเหลือละก็ ก็ไปหาผมได้ที่คลินิกเหรินจื้อนะ”
สิ้นเสียง เขาก็หยิบยาที่อยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินจากไป
ตลอดทางที่เดินออก มีทั้งดินสอ สมุดถูกโยนเข้ามาต่อเนื่อง เจียงชื่อเหมือนเป็นนักโทษที่ถูกลากออกไปแห่กลางถนนเหมือนในสมัยโบราณอย่างไรอย่างนั้น
ที่ทั้งถูกเกลียดชังและดูถูกเหยียดหยาม
จนกระทั่งเจียงชื่อออกไปจากห้องโถงใหญ่แล้ว ทั้งห้องโถงก็มีเสียงปรบมืออันครึกครื้นดังขึ้นมา ทุกคนต่างก็ร้องเฮกระโดดโลดเต้น
ทังเจียเหวินทำมือส่งสัญญาณให้เพลาๆ ลง “เอาละ ทุกคนเงียบก่อน”
ทั้งอาจารย์และนักศึกษาต่างก็นั่งลง ตอนนี้พวกเขามีความสุขเป็นอย่างมาก คิดว่าได้ทำสงครามที่สวยงามไปเรียบร้อยแล้ว ในการปกป้องเกียรติของสือควนไว้ได้
ทังเจียเหวินเอ่ยกับสือควนที่อยู่บนเวทีว่า: “หมอสือ ผมต้องขอโทษคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เป็นเพราะพวกเราจัดการไม่ดีพอ ถึงให้คนหน้าไม่อายแบบนี้เข้ามาปะปนอยู่ในสถานที่ได้ เลยทำให้คุณต้องวุ่นวายโดยไม่สมควรเลย”
สือควนแสร้งทำเป็นคนดี เอ่ยว่า: “อธิการบดีทังคุณไม่ต้องโทษตัวเองเลยครับ ปืนตรงหน้า หลบหลีกง่าย ซุ่มโจมตี ยากระวัง คนต่ำช้าแบบนี้ต้องการใส่ร้ายป้ายสีผม ทำให้ผมเสียหาย คุณจะไปห้ามได้อย่างไรล่ะครับ? ผมไม่โทษคุณหรอก”
ทังเจียเหวินรู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง เอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจว่า: “หมอสือ คุณไม่เพียงแต่มีความสามารถทางการแพทย์สูง จรรยาบรรณแพทย์สูงส่งเสียยิ่งกว่าภูเขาไท่ซานซะอีก ในใจของพวกเราคุณก็คือคนที่ยิ่งใหญ่และสูงส่ง!”
ทังเจียเหวินพูดคำพูดบรรยายการชื่นชมออกมาหมด รู้สึกเคารพนับถือสือควนจากใจจริง
การประชุมดำเนินไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็จบลงแล้ว
สือควนและลูกชายของเขาสือเหวินปิ่งออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยตามกัน รักษาท่าทีผู้อาวุโสที่จิตใจเมตตาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ มองไม่ออกจุดบกพร่องแม้แต่น้อย
เมื่อพวกเขาขึ้นรถยนต์ออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว หน้ากากที่แสร้งทำเป็นคนดีในที่สุดก็ถูกกระชากออก
บนรถ
สือเหวินปิ่งถอนหายใจออกลึก ตบหน้าอกแล้วเอ่ยว่า: “เมื่อกี้อันตรายเกินไปแล้ว ไอ้สารเลวเจียงชื่อนั่นไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เกือบจะถูกมันกระชากหน้ากากเราออกแล้วเชียว”
สือควนพยักหน้า “นั่นน่ะสิ เมื่อกี้ฉันก็ตกใจแทบแย่เหมือนกัน ไอ้หนามตัวปัญหาอย่างเจียงชื่อนี่ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะต้องจัดการมันทิ้งแน่นอน!”
“ทว่า…” สือควนฉีกยิ้มขึ้น เอ่ยว่า: “ทังเจียเหวินคนนั้นจริงใจกับฉันทีเดียวละ แม้ว่าเจียงชื่อจะเปิดโปงเรื่องของฉัน แต่ผลปรากฏว่าไม่ได้รับผลกระทบ”
เขามองไปยังสือเหวินปิ่ง เอ่ยกำชับว่า: “ฉันให้แกจัดแจงให้คนไปจับตาดูนักศึกษาพวกนั้น แกจัดการหรือยัง?”
สือเหวินปิ่งพยักหน้าต่อเนื่อง “เตรียมพร้อมตั้งนานแล้วครับ ขอแค่พวกนักศึกษานั่นกินยาของเราลงไป ก็จะมีคนไปจับตามอง พ่อครับยาที่พ่อวิจัยทำมานี้มันจะได้ผลจริงๆ เหรอครับ?”
“เรื่องนี้ต้องพูดด้วยเหรอ?” สือควนเอ่ยอย่างมั่นใจในตัวเองพอสมควร: “ยาที่ฉันทำขึ้นมาเองครั้งนี้ สามารถปรับปรุงสมรรถภาพของร่างกายมนุษย์ได้ และเราก็เลือกร่างที่เราต้องการจากในนั้น บุคคลที่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน ต้องถูกคัดออกทั้งหมด จะต้องหาร่างกายที่เหมาะสมให้ได้ถึงจะโอเค”
ที่แท้ การที่พวกเขาวิจัยผลิตยาออกมาให้นักศึกษากินนั้น มองดูภายนอกแล้วเป็นการหวังดีต่อนักศึกษา ให้ยาไปกินฟรี แต่อันที่จริงคือกำลังทำการคัดเลือกนี่เอง
หากมีคนที่มีปฏิกิริยาต่อต้านยา ก็แสดงว่าร่างกายธรรมดา
มีเพียงผู้ที่ทานยาเข้าไปแล้วสามารถกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงได้ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อยเหล่านั้น จึงจะเป็น ‘ร่างกาย’ ที่สือควนกำลังต้องการตามหาอยู่