บทที่ 1
“โปรดฟ้าคุ้มครองให้ตระกูลหลี่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ไร้ความเสื่อมถอยใดๆ ให้ลูกให้หลานทั้งหมดต่างก็ประสบความสำเร็จด้วยเถิด!” นายท่านหลี่คำนับก่อนจะปักธูปลงไปในกระถางธูป
วันนี้เป็นการชุมนุมประจำปีของตระกูลหลี่ที่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงของเมืองเจียงโจวซึ่งจะจัดปีละหนเท่านั้น ในงานชุมนุมเองก็มีคนนับร้อยมาพบปะพูดคุย จนเสียงดังเซ็งแซ่ ดูแล้วปลุกใจให้ฮึกเหิม
พลันมีบุคคลระดับสูงคนหนึ่งของตระกูลหลี่ลุกขึ้นเดินออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานว่า : “สวัสดีทุกๆ ท่าน การที่พวกเราตระกูลหลี่จะมาถึงจุดนี้ได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะโชคเพราะบุญวาสนาของผู้นำตระกูล เพราะฉะนั้นวันนี้โปรดชนรุ่นหลังทุกท่าน ได้มอบของขวัญให้กับผู้นำตระกูลของเรา เพื่อเป็นการแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลด้วย!”
หลังจากพูดจบ ก็มีหลายสิบคนที่ต่างหยิบของขวัญของตัวเองออกมา แล้วเข้ามายืนต่อแถวรอมอบของเป็นลำดับ
แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเงาของคนๆ หนึ่งพุ่งออกมาจากประตูบ้านพักตระกูลหลี่ด้วยสีหน้าที่ร้อนรน แถมตามร่างกายก็ยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนไม่น้อยเลยอีกด้วย
ไป๋ยี่เฟยเป็นลูกเขยของตระกูลหลี่ ในสายตาของคนอื่นนั้น ไป๋ยี่เฟยเป็นคนที่ทั้งวันไม่ยอมทำอะไร เอาแต่เที่ยวเล่น แถมยังอาศัยเกาะกินอยู่อาศัยบ้านของตระกูลหลี่ฟรีๆ อีกด้วย
“ทำไมถึงเพิ่งมากัน!” หลี่เสว่รีบดึงไป๋ยี่เฟยเข้ามากระซิบถาม เพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นในตระกูลเห็นเขาในสภาพนี้เข้า
ไป๋ยี่เฟยสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดว่า : “คือ…น้องสาวผมเกิดอุบัติเหตุน่ะครับ แล้วต้องการเงินสามแสนเพื่อเป็นค่าผ่าตัดด่วนเลย!”
แต่ยังไม่ทันที่หลี่เสว่จะได้พูดอะไร หลิวจื่อหยุนที่เป็นแม่ยายของไป๋ยี่เฟยก็แย่งพูดขึ้นมาก่อน : “น้องสาวเกิดอุบัติเหตุงั้นหรือ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรากันล่ะ? จะเรื่องอะไรต้องดูให้เหมาะสมด้วยว่ามันเร่งด่วนหรือเปล่า แล้วซื้อของขวัญมาหรือเปล่าล่ะ? รีบๆ เอาไปมอบให้นายท่านหลี่ได้แล้ว”
“แม่ครับ ผม…ผมเอาของขวัญราคาสามหมื่น…ไปสำรองจ่ายที่โรงพยาบาลแล้วล่ะครับ!” ไป๋ยี่เฟยพูดจบ ก็ก้มหน้าลงทันที
“นี่พูดว่าอะไรนะ?” พลันสีหน้าของหลิวจื่อหยุนเปลี่ยนเป็นมืดทึมลงทันที : “นายนี่ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ นะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง แล้วใครอนุญาตให้นายเอาเงินที่ใช้ซื้อของขวัญไปใช้อย่างอื่นกัน?”
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงพูดลากยาวออกมา : “ขอเชิญหลี่เสว่แห่งตระกูลหลี่และลูกเขยตระกูลหลี่ ไป๋ยี่เฟยมอบของขวัญอวยพรให้กับนายท่านหลี่ได้!”
พอพูดจบ สายตาของทุกคนก็หันมามองที่ไป๋ยี่เฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นั่นมันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? งานชุมนุมประจำปีที่น่ายินดีแบบนี้ ทำไมถึงมีรอยเลือดเต็มตัวแบบนั้น?”
“ช่างไม่มงคลเอาเสียเลย!”
ไป๋ยี่เฟยก็พยายามฝืนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของนายท่านหลี่ : “คุณปู่ครับ คือผม…ผมอยากจะขอยืมเงินสักหน่อยได้ไหมครับ พอดีน้องสาวของผมเกิดอุบัติเหตุ แล้วต้องการเงินก้อนหนึ่งเพื่อไปรักษาอย่างเร่งด่วนน่ะครับ…”
เสียงที่ดูปีติยินดีจากทุกคนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งสีหน้าของคุณปู่ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอึมครึมลงอย่างช้าๆ
พลันทั่วทั้งลานขณะนั้นก็เงียบลงทันที เงียบเสียจนรู้สึกน่ากลัวขึ้นมาเลย
หลิวจื่อหยุนก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ยี่เฟยก่อนจะเหวี่ยงมือตบลงไปบนใบหน้าของเขาอย่างจัง
“คนไร้ค่าอย่างนายพูดอะไรออกมากัน? วันนี้เป็นวันชุมนุมของตระกูลนะ! มาพูดเรื่องอุบัติเหตุกับผ่าตัดอะไรตอนนี้ มันไม่มงคลเอาเสียเลย!” หลิวจื่อหยุนเธอรังเกียจไป๋ยี่เฟยมาตลอด เธอรู้สึกว่าการมีลูกเขยที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ ทำให้ไม่ว่าตัวเองจะเดินไปที่ไหนก็ตามแต่ ก็ไม่อาจที่จะเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิได้เลย
โดยที่ไม่รอให้ไป๋ยี่เฟยได้ตอบ หลี่ฝานก็เดินออกมา พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าที่ดูถูก : “นี่อยากจะให้ทั้งตระกูลต้องขายขี้หน้าด้วยหรือไง? ไม่มีเงินที่จะไปซื้อของขวัญใช่ไหมล่ะ? ทำไมต้องเอาเรื่องน้องสาวมาพูดเล่นแบบนี้ด้วย?”
หลี่ฝานเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของหลี่เสว่ แถมยังเป็นหนุ่มที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดา ของตระกูลหลี่รุ่นที่สามด้วย
“คุณปู่ครับ เป็นเพราะผมไม่ดีเองล่ะครับ คือ…คือว่า ตอนที่น้องสาวไปช่วยเลือกของขวัญกับผม ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ นะครับ แล้วต้องการค่าผ่าตัดสามแสนด่วนที่สุดเลยครับ” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างรู้สึกผิด
“นี่นายจะโทษคุณปู่ เรื่องที่น้องสาวนายเกิดอุบัติเหตุงั้นหรือไง?” หลี่ฝานมองไปที่เขาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ ซึ่งพอนายท่านหลี่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็มืดทึมลง จนดูน่ากลัวทันที
“ไม่ๆๆ ไม่นะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือผม…ผมก็แค่อยากจะขอร้อง ยืมเงินสามแสนจากคุณปู่สักหน่อยน่ะครับ!” ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
พอได้ยินว่าไป๋ยี่เฟยยังคงพูดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอยู่ หลิวจื่อหยุนก็รีบรุดไปตรงหน้าของไป๋ยี่เฟย ก่อนจะผลักเขาเต็มแรง “นี่ยังไม่ยอมไสหัวไปให้พ้นอีกหรือไงเจ้าคนไร้ค่า?” หลิวจื่อหยุนพูดด้วยสีหน้าที่อึมครึม : “ทุกคนขายขี้หน้าก็เพราะนายหมดแล้ว!”
ไป๋ยี่เฟยถูกผลักจนเซถอยหลังไป แต่เขาก็ยังไม่ยอมจากไปไหน อีกทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่ท้อใจ : “แม่ครับ น้องสาวของผมรอผมอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่นะครับ หากไม่มีเงิน น้องสาวของผมก็ทำการผ่าตัดไม่ได้ อาจจะถึงขั้นตายได้เลยนะครับ!”
หลิวจื่อหยุนก็พูดด้วยอย่างเย็นชา : “ถ้าอย่างนั้นนายก็รีบไปที่โรงพยาบาลสิ จะมามัวอึ้งอยู่ที่นี่ทำไมกัน? แล้วก็อย่ามาวุ่นวายให้งานชุมนุมตระกูลของพวกเราวันนี้เสียด้วย!”
“ไม่ต้องพูดให้เสียเวลาแล้วล่ะค่ะแม่! พวกเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวหนูคิดหาวิธีเอาเอง” ในที่สุดหลี่เสว่ก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงรีบสาวเท้ายาวไปหาไป๋ยี่เฟยทันที
ส่วนนายท่านหลี่ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูง ก็ไม่อยากที่จะสนใจไป๋ยี่เฟยเลยแม้แต่นิด เขาโกรธเสียจนหันหลังเดินออกจากโถงใหญ่ไปทันที
หลี่ฝานหันไปมองหลี่เสว่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างเยือกเย็น : “วันนี้สามีสุดที่รักของเธอทำตัวน่าขายหน้าเหลือเกินนะ แต่ดูจากสภาพของเธอแล้ว การจะหาเงินสามแสน คงจะยากเย็นเลยล่ะสิใช่ไหม? อยากให้พี่คนนี้ช่วยพวกเธอหน่อยไหมล่ะ”
ไป๋ยี่เฟยที่ได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกเป็นพระคุณขึ้นมาทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ชอบดูถูกคนอื่นอย่างพี่ชายคนนี้ จะยอมให้เขายืมเงินได้
แต่หลี่ฝานก็พูดขึ้นต่อทันที โดยไม่รอให้ไป๋ยี่เฟยได้เปิดปากพูด : “แค่ไป๋ยี่เฟยต้องมาคุกเข่าให้พี่ต่อหน้าทุกคน แล้วก้มลงคำนับพี่สามครั้ง ถึงจะสามารถยืมเงินจากพี่ได้!”
“พี่หลี่ฝาน พี่ทำเกินไปแล้วนะ!” พอได้ยินแบบนั้น หลี่เสว่ก็โมโหขึ้นมาทันที
ในสายตาของหลี่เสว่ ถึงแม้ว่าไป๋ยี่เฟยจะดูไร้ประโยชน์อย่างไรก็ตาม แต่เขาก็เป็นสามีของเธอ เธอไม่มีทางให้คนอื่นมาดูถูกดูแคลนเขาได้ง่ายๆ แน่นอน
เพียงแต่ สิ่งที่หลี่ฝานพูดเองก็ไม่ผิด ตอนนี้บริษัทของเธอกำลังพบกับอุปสรรค จนแทบจะขาดทุนจนเกือบหมด ทำให้ไม่สามารถจะหยิบยืมเงินสามแสนออกมาได้จริงๆ
หลี่ฝานเองก็เคยไม่พอใจหลี่เสว่มาก่อน แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะยังผูกใจเจ็บมาตลอด
“หลี่เสว่อย่าเอาความใจดีของพี่ ไปทำให้เสียซะล่ะ” หลี่ฝานพูดอย่างไม่รีบร้อน
“ก็ได้ พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ไป๋ยี่เฟยพวกเราไปกันเถอะ”
“ผมยังไปไม่ได้ ผมยังไม่มีเงินแล้ว แล้วน้องสาวของผมจะทำอย่างไร?” ไป๋ยี่เฟยใช้มือทั้งสองค้ำหัวของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปทางหลี่ฝาน ทำท่าทางราวกับกำลังจะนั่งคุกเข่าคำนับให้เขา
“พอได้แล้ว!” ขณะนั้นเอง ก็มีผู้อาวุโสของตระกูลหลี่คนหนึ่งออกมาพูดว่า : “ยังทำให้น่าขายหน้าไม่พอหรือไง วันนี้ทุกคนในตระกูลก็อยู่ที่นี่กันหมด หลี่ฝานไม่จำเป็นต้องทำให้มันเกินไปขนาดนี้ก็ได้ อีกอย่าง เข่าของคนแบบไป๋ยี่เฟยก็คงไม่มีค่าถึงสามแสนหรอก”
หลี่ฝานที่ได้ยินแบบนั้นก็เบะปาก ก่อนจะหยิบมือถือออกมา : “ก็ได้ครับ…ไป๋ยี่เฟยฉันจะให้นายยืมเงินก็ได้นะ แต่มีดอกเบี้ยสามแสนต่อหนึ่งสัปดาห์ ถ้าหากเอามาคืนภายในหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้ล่ะก็ สัปดาห์ที่สองก็จะเพิ่มเป็นหกแสน นายว่าอย่างไรล่ะ?”
“ดอกเบี้ยแบบนี้มันแพงเกินไปแล้วนะ!” หลี่เสว่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“แต่ผมเห็นด้วย!” ไป๋ยี่เฟยรีบตอบรับทันที โดยไม่สนใจคำแย้งจากหลี่เสว่
“ได้สิ ทุกคนที่ได้ยินก็เป็นพยานให้แล้ว หวังว่าครอบครัวของน้องสาวของพี่จะไม่เบี้ยวเงินหนีนะ” หลี่ฝานพูดพลางหัวเราะพลาง พอพูดจบ เขาก็โอนเงินให้กับไป๋ยี่เฟยทันที
พอไป๋ยี่เฟยได้รับเงิน เขาก็รีบไปจากที่ดังกล่าวทันที
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไป๋ยี่เฟยก็รีบรุดมาที่โรงพยาบาล พอมาถึงเขาก็ได้รู้ข่าวจากพยาบาลว่า ไป๋ยี่หลิงกำลังได้รับการผ่าตัดอยู่ แถมยังเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาลเป็นคนลงมือเองด้วย
“พยาบาลครับ ไม่ทราบว่า ใครเป็นคนช่วยออกค่าผ่าตัดให้หรือครับ?” ไป๋ยี่เฟยถามอย่างสงสัยใครรู้
พอพูดจบ ก็มีเสียงที่ทุ้มต่ำของคนๆ หนึ่งดังขึ้นมาทันที : “ไม่ต้องไปถามเธอหรอก เป็นฉันเองล่ะ!”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินก็หันหน้าไปมอง เขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกประมาณห้าถึงหกคน กำลังเดินมาต่อหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
“ตรงนี้ดูไม่เหมาะจะคุยเท่าไหร่นะ ตามฉันมาก่อนแล้วกัน!” ฝ่ายชายตบไปที่บ่าของไป๋ยี่เฟยเบาๆ ก่อนจะพาเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงปากทางเข้าของห้องผ่าตัด
บอดี้การ์ดเองก็แบ่งกันยืนทั้งสองริมฝั่งทางเดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามารบกวน การพูดคุยระหว่างเขากับไป๋ยี่เฟย
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครหรือครับ?” ไป๋ยี่เฟยถามด้วยความหวาดระแวงนิดๆ
เขารู้ได้เป็นอย่างดีว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
“เฟยเอ๋อ ฉันเป็นพ่อของนายกับหลิงเอ๋ออย่างไรล่ะ!” ชายคนนั้นพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ พลางพูดพร้อมกับบีบไหล่ของไป๋ยี่เฟยไปด้วย : “พ่อชื่อว่าไป๋หยุนเผิงนะ!”
พอได้ยินแบบนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ยืนอึ้งไปทันที!
ผ่านไปอยู่นาน กว่าที่ไป๋ยี่เฟยจะได้สติกลับคืนมา ก่อนเขาจะพูดอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่า : “เอ่อ คุณอาครับ คุณน่าจะจำผิดคนแล้วนะครับ ผมมีพ่อมีแม่อยู่แล้วนะครับ”
ไป๋หยุนเผิงมองมาที่ไป๋ยี่เฟยอย่างเมตตาและอ่อนโยน : “พ่อรู้ว่าลูกต้องไม่เชื่อแน่ๆ นี่ไงล่ะ ที่เป็นหลักฐานว่าพ่อกับหลิงเอ๋อเป็นครอบครัวเดียวกัน แถมยังมีภาพผ้าอ้อมของพวกลูกด้วยนะ โดยเฉพาะปานที่อยู่ด้านหลังนั่นน่ะ ตอนแรกที่พ่อพาพวกลูกไปส่งน่ะ พ่อแทบขาดใจเลยนะรู้ไหม”
พอเห็นว่าไป๋หยุนเผิงเตรียมเอาข้อมูลมาอย่างดี ในใจของไป๋ยี่เฟยก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เป็นเพราะเขายืนยันได้อย่างแน่นอนเลยว่า เด็กทารกที่อยู่ในภาพเหล่านั้น เป็นพวกเขาพี่น้องกันจริงๆ ส่วนคนที่อุ้มพวกเขาอยู่ ก็เป็นผู้ชายที่มีชื่อว่าไป๋หยุนเผิงที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขาอยู่นั่นเอง
ต่อจากนั้น ไป๋หยุนเผิงก็หยิบเอาบัตรเอทีเอ็มสีม่วงเข้มออกมาใบหนึ่ง “เฟยเอ๋อ นี่เป็นบัตรคิงนะ ทั่วทั้งประเทศเสี้ยนี้ มีเพียงแค่ยี่สิบใบเท่านั้น และวันนี้พ่อก็เป็นคนเอามันมาให้กับลูก…ด้านในบัตรมีเงินอยู่สามร้อยล้านนะ”
ต่อจากนั้นไป๋หยุนเผิงก็หยิบแหวนออกมาวงหนึ่ง แล้วก็เอามันสวมเข้าที่นิ้วกลางของไป๋ยี่เฟย : “หากใช้แหวนอันนี้ ลูกก็จะสามารถไปขอเบิกเงินได้หนึ่งพันล้าน ทุกๆ ธนาคารในประเทศเสี้ยโดยไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมใดๆ ถือซะว่าเป็นการชดเชยให้ลูกแล้วกันนะ”
ตอนแรกก็สามร้อยล้าน มาตอนนี้ก็อีกพันล้านงั้นหรือ? ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นล่ะก็ ไป๋ยี่เฟยคงจะไม่มีทางเชื่อแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม คำพูดที่ออกมาจากไป๋หยุนเผิงคนนี้ ถึงไม่มีความน่าสงสัยอยู่เลย
ต่อจากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ยื่นนามบัตรใบหนึ่งมาให้ไป๋ยี่เฟย : “บัตรใบนี้มีเบอร์ของพ่ออยู่นะ อีกอย่างอาการบาดเจ็บของหลิงเอ๋อก็ดูสาหัสเอาการ พ่อกลัวว่าการรักษาของโรงพยาบาลนี้ คงทิ้งอาการตกค้างไว้แน่ ดังนั้นรอให้อาการของหลิงเอ๋อดีขึ้นกว่านี้ก่อน เดี๋ยวพ่อจะมารับเธอไปอยู่ด้วยเองนะ”
สำหรับข้อเสนอของไป๋หยุนเผิง นั้น ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ถ้าหากหลิงเอ๋อยังมีอาการหลงเหลืออยู่จริงๆ เขาคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่ๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ประตูของห้องผ่าตัดก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ พลันเขาก็เห็นร่างของไป๋ยี่หลิงที่ถูกมัดเอาไว้ทั้งตัว
ไป๋หยุนเผิงเห็นดังนั้นแววตาของเขาก็ร้อนผ่าว เขาโบกมือปัด บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างกายเขาเห็นแบบนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะยกมือถือขึ้นโทร เพียงไม่นานก็มีรถพยาบาลระดับสูงมารับตัวของไป๋ยี่หลิงไป
ส่วนไป๋ยี่เฟยที่มองดูอยู่นั้น ในใจของเขาก็เหมือนกับถูกยกหินที่ทับไว้ออกมาแล้ว!
ไป๋หยุนเผิงตบบ่าของไป๋ยี่เฟยเบาๆ ก่อนจะมองเขาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง จากนั้นก็เดินจากไปทันที
ส่วนไป๋ยี่เฟยก็ยกมือขึ้นลูบบัตรที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา ก่อนจะรีบขับรถไปที่ธนาคารทันที! ถึงแม้ว่าไป๋หยุนเผิงจะไม่เหมือนกับพูดเล่นก็ตาม แต่ไป๋ยี่เฟยก็อยากที่จะไปพิสูจน์ดู ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือปลอมกันแน่
หลังจากผ่านไปสิบนาที ไป๋ยี่เฟยก็เดินออกมาจากธนาคาร ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
ไป๋ยี่เฟยในตอนนี้รู้สึกว่าขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ซึ่งเหตุผลมันก็ง่ายมากๆ เพราะบัตรใบนี้นั้น มีเงินอยู่สามร้อยล้านจริงๆ!
หลังจากที่พาตัวเองกลับมาบ้านอย่างทุลักทุเล ขณะที่ไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะเดินมาถึงที่หน้าประตูบ้านนั้น เขาก็ได้ยินเสียงทะเลาะโวยวายดังมากจากด้านใน
“นี่ลูกโง่หรือเปล่า วันนี้เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่น ทำพวกเราตระกูลหลี่ขายหน้ากันหมด แล้วลูกคิดจะขายบ้านเพื่อเจ้านั่นอีกหรือ?” หลิวจื่อหยุนพูดด้วยสีหน้าฉุนเฉียว พร้อมทั้งตะโกนออกมาเสียงดัง