บทที่ 284
ซูต้าหลิวพูดไม่ออกอยู่สักพัก สีหน้าก็ลุกเป็นไฟ ในใจรู้สึกไม่เต็มใจ ก่อนจะพูดกับหลี่เสว่“ได้ยินที่มันพูดแล้วยัง บอกว่าหนูเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว มันกำลังพูดจาดูถูกเหยียดหยามหนูอยู่นะ!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน มองไปยังหลี่เสว่
หลี่เสว่มองๆซูต้าหลิว แล้วก็มองไป๋ยี่เฟย สีหน้าแดงเล็กน้อย ก้มหัวลงพูดขึ้น“เขา……เขาคือ……สามี……ของฉัน……”
อะไรนะ?
ไม่ใช่แค่ซูต้าหลิว คนที่ฟังอยู่รอบข้างต่างก็พากันมึนงง
ซูต้าหลิวสองตาถะลึงด้วยความไม่อยากที่จะเชื่อ
กะอิแค่คนจนคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะแต่งงานกับภรรยาที่สวยขนาดนี้ นี่มันเป็นดอกไม้ที่เสียบอยู่ในมูลวัวชัดๆ!
ไป๋ยี่เฟยกลับยกมุมปากเล็กน้อย อารมณ์ดีมาก พูดกับซูต้าหลิว“ตอนนี้ เงียบปากได้แล้วยัง?”
ซูต้าหลิวได้ยินแบบนี้ ก็ไม่ได้สนใจไป๋ยี่เฟยอีก หันหัวกลับไปพิงเบาะหลับตาลงแกล้งทำเป็นหลับไป
นี่มันรู้สึกอึดอัดสุดๆ เมื่อตะกี้ เขาไปบอกว่ารู้จักกับหลี่เสว่ต่อหน้าสามีของเธอ รู้สึกอึดอัดไม่น้อย จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็บอกว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เขาไม่เชื่อก็ช่างมัน แต่นี่ยังหัวเราะเยาะพูดเย้ยหยันต่างๆนานาออกมา แต่ผลที่ได้ คนเขากลับเป็นสามีภรรยากันจริงๆ
คนรอบข้างต่างพากันกลั้นขำเอาไว้ เห็นฉากตลกฉากใหญ่
ไป๋ยี่เฟยเห็นเขาเงียบปากได้สักที จึงหันไปพูดกับหลี่เสว่“เสว่เอ๋อ จากนี้ไปเวลาเจอคนประเภทนี้ อย่าไปสนเขานะ”
หลี่เสว่พยักหน้า ตอบรับ
ผ่านไปได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ไป๋ยี่เฟยก็ไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง แต่การที่ไปเข้าห้องน้ำในครั้งนี้ ก็ไปเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดเข้า
ไป๋ยี่เฟยเพิ่งเดินเข้าไปในห้องน้ำ ขณะที่กำลังเตรียมที่จะปิดประตู จู่ๆประตูก็ถูกคนผลักออก ชายอายุประมาณสามสิบกว่าๆ สวมเสื้อยืดสีดำผลักเข้ามา ขณะที่เขาไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็รีบล็อคประตูของห้องน้ำไว้
หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามาแล้ว ก็พิงไปที่กำแพง มือกุมท้องของตัวเองเอาไว้ ส่วนที่ระหว่างซอกนิ้วมีรอยเลือดอยู่
ไป๋ยี่เฟยตื่นตัวขึ้นมาทันที มองเขาอย่างระแวดระวัง
แต่ถึงยังไงชายคนนั้นไม่ได้มองไป๋ยี่เฟยแม้แต่น้อย เพียงแค่ก้มหน้าลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าพูดอะไร ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่านายซะ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดอะไร แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่ด้วย ถ้าส่งเสียงออกไป จะถูกฆ่างั้นเหรอ?
ชายคนนั้นไม่ได้ยินเสียงของไป๋ยี่เฟย รู้ว่าเขาไม่กล้าส่งเสียงออกมาแล้ว ก็ถกเสื้อของตัวเองขึ้น ใช้ฟันกัดเอาไว้ จากนั้นก็ล้วงมีดพับออกมาเล่มหนึ่ง เริ่มจัดการกับบาดแผล
ไป๋ยี่เฟยมองอยู่ข้างๆ
ให้ตายสิ!
ไม่คิดว่านายคนนี้จะพกมีดเข้ามาด้วย!
ให้ตายสิ!
นายคนนี้ใช้มีดเฉือนควักกระสุนออกมาด้วยตัวเอง!
อย่าว่าแต่ใช้มีดเฉือนเนื้อตัวเองเลย แค่ใช้มีดปาดนิ้วของตัวเองไป๋ยี่เฟยยังรู้สึกเจ็บแล้วเลย แต่นายคนนี้กลับเฉือนเนื้อของตัวเองไปซะทื่อๆแบบนั้น
นายคนนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ
นี่สินะที่เขาว่ากันว่า โหดเหี้ยมกับผู้อื่นไม่เรียกว่าโหดเหี้ยม แต่โหดเหี้ยมกับตัวเองต่างหากล่ะถึงจะเรียกว่าโหดเหี้ยมที่แท้จริง!
ชายคนนั้นหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เขาไม่ร้องสบถออกมาสักคำ การกระทำก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากผ่านไปสองสามนาที กระสุนลูกหนึ่งก็ถูกเฉือนออกมา
ไป๋ยี่เฟยกลืนน้ำลาย
ไม่คิดว่าสิ่งของประเภทลูกกระสุนแบบนี้จะโผล่ให้เห็นที่นี่ อดคิดไม่ได้ว่า ก่อนหน้านี้นายคนนี้ไปทำอะไรมาบนรถไฟ จากนั้นก็ถูกคนใช้ปืนยิง จึงมาแอบอยู่ในห้องน้ำ
อีกเดี๋ยว คนที่ถือปืนพวกนั้นจะไม่มาหาเขาหรือไง?
ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็ตกอยู่ในอันตรายแล้วน่ะสิ?
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากที่ชายคนนั้นเอากระสุนออกมาแล้วก็พิงที่ผนังรถหายใจหอบอยู่ยกใหญ่
เนื่องจากแผลใหญ่มาก เลือดที่ท้องก็ไหลไม่หยุด
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนี้ก็ทนดูไม่ได้ นึกได้ว่าเนื่องจากตัวเองเคยถูกทุบตี เลยพกยาห้ามเลือดมาด้วย จึงเอ่ยปากพูดขึ้น“ผมมียาห้ามเลือด คุณจะเอาไหม”
นายผู้โหดเหี้ยมได้ยินแบบนั้นก็จ้องเขม็งไป๋ยี่เฟย พยายามมองอะไรบางอย่างในตาของไป๋ยี่เฟย
ไม่แปลกที่เขาจะระมัดระวังตัว เขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บ มาเจอคนคนนี้ในห้องน้ำ ส่วนคนคนนี้ดันมียาห้ามเลือดอยู่พอดีอีก นี่มันบังเอิญเกินไปแล้ว!
ไป๋ยี่เฟยดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขา รีบยกสองมือขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้น“สองวันก่อนผมถูกคนรุมทำร้าย ก็เลยพกยามาด้วยน่ะ”
นายผู้โหดเหี้ยมมองๆไป๋ยี่เฟย“ให้ฉันดูที่นายถูกทำร้ายหน่อย”
ไป๋ยี่เฟยหมดหนทาง ถ้าไม่ให้เขาดู ก็คงจะพูดจากันดีๆไม่ได้แน่ๆ
ถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว ชี้รอยเขียวช้ำที่อยู่บนร่างกายของตัวเอง“เห็นแล้วใช่ไหม?”
ชายคนนั้นเห็นบนร่างกายของไป๋ยี่เฟยมีบาดแผลฟกช้ำเต็มไปหมด จึงเชื่อคำพูดของไป๋ยี่เฟย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งกำชับ“เอายามาให้ฉัน!”
ไป๋ยี่เฟยสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ล้วงยาออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้กับเขา
นายโหดเหี้ยมรับยามา เปิดออก ทาลงไปที่บาดแผลของตัวเองอย่างไม่เกรงใจ ไป๋ยี่เฟยเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจ ผมไม่ได้ใช้เงินของคุณไปซื้อยานะ!
หลังจากที่ทาไปทามาจนเสร็จแล้ว เลือดของนายโหดเหี้ยมก็หยุดไหล โชคดีที่ข้างในนี้มีอ่างล้างมืออยู่ด้วย เขาล้างคราบเลือดที่อยู่บนตัวและมือจนสะอาด แล้วถึงพูดขึ้นกับไป๋ยี่เฟย“ขอบใจ”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดอะไรตลอดเวลาที่ผ่านมาเมื่อตะกี้ แต่มองตรวจสอบเขา พูดให้ชัดๆก็คือ กำลังครุ่นคิดอยู่
หลังจากเรื่องราวในครั้งนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ตระหนักได้ว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ นอกจากร่างกายตัวเองแล้ว อำนาจและเงินก็ต้องไม่ให้น้อยด้วย เขาต้องมีพลังอำนาจเป็นของตัวเองสิถึงจะถูก
ถึงยังไงโหวจวี๋กรุ๊ปก็เป็นของไป๋หยุนเผิง เขาต้องสร้างพลังอำนาจเป็นของตัวเอง แบบนี้ถึงจะมีหลักประกันเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นให้กับตัวเองได้
ส่วนพลังอำนาจแบบนี้จะให้พวกเขารู้ไม่ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องมีคนหนึ่งคนที่ไม่มีใครรู้จักมาสร้างพลังอำนาจนี้แทนเขา
และนายผู้โหดเหี้ยมที่อยู่ตรงหน้า เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แม้ว่าไป๋ยี่เฟยจะไม่เข้าใจอีกฝั่ง แต่อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว อีกฝั่งแข็งแกร่งมาก สามารถลงมือให้กับตนเองได้ แถมยังพกมีดขึ้นมาบนรถไฟได้ มันบ่งบอกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องเกรงใจ คุณอยากได้ความช่วยเหลืออีกไหม?”ไป๋ยี่เฟยถามขึ้น“อย่างเช่น ช่วยพาคุณไปหาหมอ?”
นายโหดเหี้ยมมองเขาอย่างระแวดระวัง“นายคิดที่จะทำอะไร?”
ไม่มีใครคนไหนที่จะไปช่วยคนอื่นโดยที่ไม่มีเหตุไม่มีผลหรอก แถมยังเป็นคนที่ถูกยิงมาแล้วด้วยแบบนี้
ไป๋ยี่เฟยยกไหล่“ผมก็แค่อยากช่วยคุณก็เท่านั้น”
“ฉันไม่เชื่อ”นายโหดเหี้ยมพูดตอบกลับ
ไป๋ยี่เฟยยกมุมปาก“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปแล้ว คุณอยู่ที่นี่ดีๆก็แล้วกันนะ!”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็หันตัว กำลังจะไปเปิดประตู
“เดี๋ยวก่อน!”
นายโหดเหี้ยมเรียกไป๋ยี่เฟยไว้“บอกข้อแลกเปลี่ยนของนายมา”
ไป๋ยี่เฟยหันกลับมา“ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนจริงๆ ถือซะว่าเป็นโชคชะตาที่ดีก็แล้วกัน!”
นายโหดเหี้ยมเห็นแบบนี้ก็ครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น“พาฉันออกไปที่สถานีรถไฟ ไปหาหมอที่ไว้ใจได้สักคน”
“ไม่มีปัญหา”ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าตอบรับ
ในขณะนี้เอง ข้างนอกประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น“คนที่อยู่ข้างในออกมาแล้วยัง? อยู่ในห้องน้ำตั้งสิบกว่านาทีแล้วนะ”
ไป๋ยี่เฟยมองนายโหดเหี้ยมหนึ่งที จากนั้นก็เปิดประตูออกไป“รีบอะไรนักหนา ก็ออกมาแล้วนี่ไง”
ไป๋ยี่เฟยก้าวเดินออกไปก่อน นายโหดเหี้ยมก็เดินตามออกมา
คนที่เคาะประตูก็คือหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง พอเห็นภาพตรงหน้า ก็อึ้งตะลึงไป คิดถึงอะไรขึ้นมาทันที สายตาที่มองไป๋ยี่เฟยและนายโหดเหี้ยมแฝงไปด้วยความคลุมเครือ