บทที่355
ไป๋เซี่ยวเป็นคนของตระกูลไป๋ และเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงเหมือนกัน ยังไงไป๋ยี่เฟยก็จะต่อกรกับไป๋เซี่ยวอยู่แล้ว ถ้ามีคุณชายตระกูลฉุงเพิ่มมาอีกสักคนมันจะเป็นไรไป?
พอเห็นไป๋ยี่เฟยที่ทำตัวหยิ่งผยองแบบนี้ ฉุงโยวเวยก็รู้สึกขัดใจเอามากๆ ไอ้บ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยกลับไม่มีความเกรงกลัวตระกูลฉุงเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้ด้วยว่ามีใครหนุนหลังอยู่ถึงทำให้เขาใจกล้าได้ขนาดนี้?
ส่วนคนที่อยู่ข้างล่างนั้นแทบหยุดหายใจแล้ว นั่นมันคนของตระกูลฉุงในเมืองหลวงเลยนะ แล้วไป๋ยี่เฟยกล้าไปมีเรื่องกับเขาได้ยังไง? แถมยังทำตัวผยองมากด้วยเนี่ยนะ?
“ดีมาก” ฉุงโยวเวยกัดฟัน ถ้าแกไม่รู้จักสำนึกแบบนี้ ก็อย่ามาโทษกันทีหลังนะ!”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเรียบเฉย “ทำไม? คุณจะทำให้โหวจวี๋ล่มสลายตอนนี้เลยใช่มั้ย? เกรงว่ามึงจะทำไม่ได้มั้ง”
ฉุงโยวเวยแทบสำลัก พูดตามตรงคือมันทำไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ถึงแม้ว่าการทำลายโหวจวี๋กรุ๊ปนั่นมันจะง่ายนิดเดียวแต่มันก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่บอกว่าจะทำก็สามารถทำได้เลย
แต่เขาแค่ไม่อยากเห็นไป๋ยี่เฟยมาทำตัวสูงส่งแบบนี้ “ถ้าอย่างนั้นเรามารอดูกัน!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ ฉุงโยวเวยหยิบมือถือขึ้นมา เหมือนกำลังจะต่อสายไปหาใครบางคนเพื่อสร้างปัญหาให้โหวจวี๋ ในตอนนั้นเอง ภายในห้องโถงก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“ตอนนี้โหวจวี๋ยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย การที่คุณทำแบบนี้มันไม่ดูหน้าด้านไปหน่อยเหรอครับ?”
ทุกคนต่างก็มองไปทางต้นเสียง แล้วก็ได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจากทางประตู เขามาในชุดสูทสีเงินทั้งตัว เดินเข้างานมาอย่างมั่นคง
“ใครอีกละเนี่ย?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่คุ้นหน้าเลย”
“กล้าพูดกับรองประธานฉุงแบบนี้ แสดงว่าตำแหน่งต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่”
“ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่มาจากทางมณฑลหรือเมืองหลวงก็ได้”
“……”
ไป๋ยี่เฟยกับฉุงโยวเวยต่างตกตะลึงเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา
ที่ไป๋ยี่เฟยตะลึงก็เพราะชายคนนี้เขารู้จัก เขาเป็นชายหนุ่มที่ขับรถชนบนทางด่วนวันนี้ตอนไป๋ยี่เฟยไปรับแม่ยาย
ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นหนุ่มคนนี้ถูกแม่ยายชี้หน้าด่าแต่เขาก็ไม่เถียงเลยสักคำ เขาเอาแต่แสดงท่าทีรู้สึกผิดกับบริสุทธิ์ใจมาก ดูแล้วช่างเป็นคนที่น่ารังแกเหลือเกิน
แต่มาตอนนี้ ทุกย่างก้าวของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจพร้อมกับชุดสูทที่สวมใส่ มองไม่ออกเลยว่าเขายังมีอีกมุมซ่อนอยู่
และสิ่งที่ไป๋ยี่เฟยสนใจที่สุดก็คือฐานะของเขา
ในตอนนั้น ฉุงโยวเวยก็กดเสียงต่ำลง “หลินขวาง! คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
ไป๋ยี่เฟยทบทวนความจำเกี่ยวกับข้อมูลที่จางหัวปินเคยให้เขา สหพันธ์ธุรกิจมีรองประทั้งหมดสามคน นอกจากฉุงโยวเวยกับสวีจื้อแล้วอีกคนก็คือ หลินขวางนี่แหละ
หลินขวางเป็นรองประธานของสหพันธ์ธุรกิจสินะ ด้วยอายุแค่นี้เนี่ยนะ!
หลินขวางทำเสียงฮึดฮัด “คุณมาได้เลยแล้วทำไมผมจะมาบ้างไม่ได้ล่ะ?”
“ผมมาทำงานนะ แล้วคุณมาทำอะไรล่ะ?” ฉุงโยวเวยพูดหยั่งเชิง
หลินขวางร้องชิ “ทำงานเหรอ? โดยการมาที่งานเลี้ยงฉลองวันครบรอบของโหวจวี๋ เพื่อมาจัดการกับสิ่งที่พวกเขาควรจะได้อยู่แล้วเนี่ยนะ? แถมยังพูดอีกว่าจะเล่นงานโหวจวี๋? แล้วที่คุณมานี่ในนามของใคร? ในนามสหพันธ์หรือส่วนตัว? หรือในนามของตระกูลฉุง?”
“ก็ต้องเป็นสหพันธ์อยู่แล้วสิ!” ฉุงโยวเวยตอบมาแบบไม่ลังเล
หลินขวางทำเสียงฮึดฮัด “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมที่เป็นรองประธานสหพันธ์ธุรกิจคนนี้รู้สึกว่าการกระทำของคุณมันไม่เหมาะสม!”
พูดจบก็มีเสียงซุบซิบมากมายดังขึ้น
“เชี่ย รองประธานสหพันธ์ธุรกิจอีกแล้ว!”
“เขาไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย!”
“ทำไมพวกรองประธานถึงพากันแห่มาที่เราเนี่ย? มีแต่ปมเต็มไปหมด!”
“……”
ฉุงโยวเวยจ้องเขม็งมาที่หลินขวาง เขารู้สึกลังเลไปแปบหนึ่ง
การที่เขาจะจัดการกับไป๋ยี่เฟยและโหวจวี๋กรุ๊ปของเขานั้นมันง่ายดายมาก แต่ถ้ามีหลินขวางเพิ่มเข้ามาอีกคนนี้ก็ต้องคิดดีๆ ก่อน เพราะยังไงหลินขวางเองก็เป็นสมาชิกของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่เหมือนกัน รับมือได้ยากทีเดียว
ในตอนนั้น หลินขวางก็ได้เหลียวมามองไป๋ยี่เฟย แล้วยิ้มให้เขา “พี่ชาย บังเอิญจังเลยนะครับ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร เขาจึงพยักหน้าเบาๆ “บังเอิญมากครับ” ทั้งสองต่างรู้ดีว่าบังเอิญที่ว่านั้นไม่ได้หมายถึงตอนนี้ แต่เป็นการพบหน้ากันบนทางด่วนเมื่อเช้านี้ต่างหาก
พอฉุงโยวเวยเห็นอย่างนั้นสีหน้าของเขาก็สับสนทันที หลินขวางไปรู้จักกับไป๋ยี่เฟยตอนไหน? ดูแล้วความสามารถน่าจะไม่ธรรมดาด้วยสินะ? ถึงว่าล่ะทำไมหลินขวางถึงได้เข้าข้างไป๋ยี่เฟยแบบนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฉุงโยวเวยก็พูดขึ้นว่า “หลังจากธุรกิจของเมืองเทียนเป่ยถูกจัดการไปเมื่อวาน ทำให้มันด้อยลงไปมาก ทรัพยากรทั้งหมดจึงจำเป็นต้องมีการจัดสรรใหม่อีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่สหพันธ์ธุรกิจควรทำอยู่แล้ว คุณที่เป็นหนึ่งในรองประธานสหพันธ์ธุรกิจก็น่าจะเข้าใจจุดนี้ดีนี่”
“ในเมื่อคุณมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราก็มาจัดการเรื่องนี้ด้วยกันเลยดีมั้ย?”
คำพูดนี้แฝงไปด้วยความนัย เขาอยากจะดึงตัวหลินขวางให้มาเป็นพวก ทรัพยากรมากมาขนาดนี้ หลินขวางเองก็จะได้รับผลประโยชน์มากมายเลยล่ะ
ที่ฉุงโยวเวยกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะเขามั่นใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินขวางกับไป๋ยี่เฟยยังไม่ดีจนถึงขั้นยอมสละผลประโยชน์ได้ สำหรับนักธุรกิจแล้วผลประโยชน์ต่างหากล่ะคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
แต่แล้ว การตบหน้าก็มาได้รวดเร็วเหลือเกิน
“ผมคิดว่าการมีอยู่ของสหพันธ์ธุรกิจนั้นคือความยุติธรรม ส่วนเรื่องสำคัญอย่างการจัดสรรทรัพยากรของเมืองเทียนเป่ยอีกครั้งนั้น เราควรหาเวลาและสถานที่มาคุยกันอย่างจริงจังไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
คำพูดของหลินขวางทำให้ฉุงโยวเวยแทบเป็นลม
ในตอนนั้นก็ได้มีคนมาเพิ่มอีกแล้ว
“ทำไมวันนี้ถึงได้คึกคักแบบนี้ครับ?”
คนที่มายังคงเป็นผู้ชาย คนๆ นี้ค่อนข้างสูง เขามาในชุดสูทกับรองเท้าหนัง แววตาเต็มไปด้วยความหลงตัวเอง ราวกับว่าเห็นใครก็รู้สึกไร้ค่าไปหมด
ด้านหลังยังมีชายที่ดูขี้โรคคนหนึ่งเดินตามมาด้วย
ไป๋ยี่เฟยรู้ว่าคนๆ นี้เป็นใคร ประธานบริษัทของเย่ซื่อกรุ๊ป เย่ฮวนนั่นเอง
ในเวลาเดียวกัน เขายังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือคุณชายของตระกูลเย่ในเมืองหลวงนั่นเอง และเป็นสมาชิกของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ด้วย
พอเห็นแล้วหลินขวางก็ขมวดคิ้วเบาๆ และแอบรู้สึกกังวล
แต่ฉุงโยวเวยกลับรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นก็หันไปพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “ไป๋ยี่เฟย ไม่มีใครสามารถช่วยแกได้แล้ว”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว โดยไม่ได้สนใจฉุงโยวเวยเลย เขาแค่พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ประธานเย่ เหมือนผมจะไม่ได้เชิญคุณมาร่วมงานด้วยนะครับ?”
เย่ฮวนค่อยๆ เดินเข้ามา และพูดอย่างโอ้อวดว่า “ก่อนจะมาไม่มีใครเคยได้รับการเชิญชวนจากศัตรูหรอก”
หลังจากทุกคนได้ฟังบทสนทนาไป บวกกับมีคนรู้ว่าเย่ฮวนเป็นใคร ภายในงานก็แตกตื่นขึ้นมาทันที
“เขาคือประธานบริษัทของเย่ซื่อกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ?”
“แถมเขายังเป็นคุณชายของตระกูลเย่ในเมืองหลวงอีกด้วย!”
“เชี่ย วันนี้มันอะไรกันเนี่ยคุณชายของทั้งสี่ตระกูลใหญ่ถึงได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าแบบนี้?”
“จะพร้อมหน้าได้ยังไง? เย่หลินไป๋ฉุง ตระกูลไป๋ยังไม่……เชี่ย ไป๋ยี่เฟยคงไม่ได้เป็นคนของตระกูลไป๋หรอกใช่มั้ย?”
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ!”
“งานเลี้ยงวันนี้ได้จบสิ้นจริงๆ แล้ว!”
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่เย่ฮวนก้บอู๋ปิ้งด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
เขารู้ดีว่าเย่ฮวนนั้นมาตามหาเย่อ้าย พร้อมกันนั้นก็เพื่อมาจัดการกับโหวจวี๋ด้วยเหมือนกัน ยังจำตอนนั้นที่เย่ฮวนมาเพื่อร่วมลงทุนหมื่นล้าน
แต่เย่ฮวนกลับมีภาพจำของหลงหลิงหลิงในหัวแบบนั้น เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะปฏิเสธไปในทันที ด้วยเหตุนี้ มันจึงกลายเป็นชนวนเหตุความแค้นของเย่ฮวน
เย่ฮวนเดินมาข้างๆ ไป๋ยี่เฟย แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เย่อ้ายอยู่ไหน?”
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ยอมตอบ