บทที่ 392
เป้าหมายหลักในการมาที่นี่ของฉุงเฉ่าเจว๋นั้นคือเขาอยากรู้ว่าคนที่ฆ่าลูกชายของเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังต้องจดจําคนคนนี้ไว้ด้วย แล้วค่อยให้การแก้แค้นที่หนักหน่วงที่สุดแก่เขา เพื่อให้เขารู้ถึงจุดจบของการที่ไปล่วงเกินคนอย่างฉุงเฉ่าเจว๋
หญิงสาวคนนั้นเม้มปาก และเดินตามไปที่ประตู
ในตอนนั้นเอง ไม่มีใครสังเกตเห็น ไป๋ยี่เฟยที่เดิมที่มีสีหน้าอันสงบนิ่ง แต่ตอนนี้เขากลับสูดหายใจเข้าลึกๆ แถมสีหน้าของเขานั้นยังซีดกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก
ไม่แปลกเลยที่เป็นท่านฉุงสาม เพราะพลังอำนาจรอบตัวของเขานั้นน่ากลัวมาก บวกกับที่เดิมทีเขามุ่งเป้าไปที่ไป๋ยี่เฟย ทําให้ไป๋ยี่เฟยใจเสียมาก แต่เขาไม่สามารถแสดงความกลัวออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดผู้คนต่างก็เดินจากไป เลยทำให้ไป๋ยี่เฟยค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย
……
กู่หรงและตำรวจหญิงคนนั้นก็กลับมายังห้องผู้ป่วย
กู่หรงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ และมองไปที่ไป๋ยี่เฟยพร้อมกับพูดว่า “นายไม่กลัวเขาเลยสักนิด ”
“ก็เฉยๆ” ไป๋ยี่เฟยยิ้ม
กู่หรงส่ายหน้า “ที่จริงแล้ว นายอยู่ที่นี่ปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่นายก็ยังหนีไม่พ้นการลงโทษทางกฎหมายได้อยู่ดี เพราะการฆ่าคนมีโทษประหารชีวิต”
“ผมรู้” น้ำเสียงที่เรียบเฉยของไป๋ยี่เฟย
กู่หรงเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจไป๋ยี่เฟยเลย อย่าว่าแต่โทษประหารเลย แค่ถูกตัดสินจําคุกเพียงไม่กี่ปี คนมากมายก็กลัว และไม่กล้ายอมรับ
นั่นมันเป็นโทษประหารชีวิตเลยนะ ไม่ใช่ว่ากักขังเพียงไม่กี่ปีก็ปล่อยออกมาแล้ว! แต่มันเป็นเหมือนการยิงปืนออกไปนัดหนึ่ง จากนั้นทุกอย่างก็จบและจะไม่มีอีก!
ไป๋ยี่เฟยแสดงสีหน้าสงบนิ่ง และไม่พูดอะไรอีกเลย
ในตอนนั้น ตำรวจหญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “หัวหน้า ฟ้าสางแล้ว เราควรจะออกไปกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ””
“อืม ไปสิ!” กู่หรง พยักหน้า
……
ไป๋ยี่เฟยยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว พวกเขาจําเป็นต้องกลับไปที่สถานีตำรวจเมืองเทียนเป่ย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพื่อเป็นปกป้องไป๋ยี่เฟยด้วย
1 ชั่วโมงต่อมา ไป๋ยี่เฟยก็ถูกนำตัวใส่รถตำรวจ ซึ่งรถตำรวจประเภทนี้ถูกออกแบบมาสำหรับกลุ่มนักโทษพิเศษ เมื่อเข้าไปแล้วจะถูกประตูเหล็กกั้นอย่างแน่นหนา
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอยู่ข้างๆ และคอยคุ้มกันพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าจะอยากหนีเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เมื่อทุกคนมาถึงแล้ว รถก็สตาร์ท และมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจเมืองเทียนเป่ย
บนเบาะหลังของรถตำรวจ กู่หรงนั่งข้างไป๋ยี่เฟย ส่วนเขากลับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่ตำรวจหญิงก็นั่งตรงข้ามไป๋ยี่เฟย และมองไปที่ไป๋ยี่เฟยอย่างระแวดระวัง
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกผ่อนคลายมาก เขาเอนลงพิงที่เบาะหลัง ขาทั้งสองข้างของเขาแยกออกจากกัน สภาพเหมือนคนเป็นอัมพาตยังไงอย่างนั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วตํารวจหญิงคนนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าทำไมลูกคนรวยผู้นี้ช่างเป็นเด็กเสเพลจริงๆ แม้แต่ฆ่าคนแล้วยังสามารถผ่อนคลายได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังทําตัวเหมือนคนไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดในการฆ่าคนอีก!
เมื่อไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดความสนใจขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ตาม เขาจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “คนสวย คุณชื่ออะไร?”
ตํารวจหญิงคนนั้นอึ้งไปสักพัก และด่าออกมาอย่างรังเกียจว่า “ไอ้อันธพาล! ”
พอพูดจบ ก็ไม่มองไป๋ยี่เฟยอีกเลย
ไป๋ยี่เฟยเอาแต่ยิ้ม พร้อมกับหันหน้าไปถามกู่หรงว่า ”คุณตำรวจ เพื่อนร่วมงานหญิงคนนี้ชื่ออะไร?”
กู่หรง หันหน้ามา และมองมาที่ไป๋ยี่เฟย เขาไม่ได้ตอบคำถามของไป๋ยี่เฟย แต่กลับถามว่า “คนที่มาแจ้งความเป็นคนที่นายส่งมาใช่ไหม?”
ไป๋เฟยหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง และกระพริบตาทันที
ความจริงแล้วกู่หรงก็แค่แกล้งทำเป็นถามไปเท่านั้น เพราะเขาค่อนข้างแน่ใจอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นตํารวจหญิงคนก็ตกใจเล็กน้อย “หัวหน้า มันเป็นไปได้เหรอคะ?”
กู่หรงถอนหายใจ “ยังจำสำเนียงของคนนั้นได้ไหม ? ที่มาจากเมืองเทียนเป่ย”
ในตอนนั้น พวกเขาเฝ้าอยู่ที่ไนต์คลับ ก็เพราะไป๋ยี่เฟย แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้กลับมาอีกเลยตั้งแต่ที่ออกไป ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าคืออะไร เลยเอาแต่เฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบๆต่อไป
จนกระทั่งชายในชุดสูทสีดํา ที่สวมหน้ากากเดินมา บอกว่าเขามาแจ้งความ และยังบอกถึงตำแหน่งของไป๋ยี่เฟยอีกด้วย
ตอนนั้นเองเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ปรากฏตัว แต่เขาจงใจถ่วงเวลาพวกเขา และทำให้พวกเขาสับสน แต่ความจริงแล้ว เขาก็ได้ไปหาฉุงโยวเวยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้คิดว่าคนคนนี้รู้ได้ยังไง และทําไมถึงมาแจ้งตํารวจด้วย พวกเขาได้แต่ขับรถตรงไปยังไนต์คลับเมื่อพวกเขามาถึง ก็เห็นว่าไป๋ยี่เฟยกำลังฆ่าฉุงโยวเวยอยู่พอดี และบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ตายไปแล้วเหมือนกัน
เมื่อตำรวจหญิงคนนั้นได้ยินคำพูดของกู่หรงแล้ว เธอก็แสดงสีหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
“มีคนเรียกตํารวจให้มาจับตัวเองอย่างนี้ด้วยเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยยิ้ม และไม่สนใจคำถามของเธอ “ งั้นเขาก็เป็นหัวหน้า ส่วนเธอก็เป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อย”
ตํารวจหญิงคนนั้นถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟย แต่กลับไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
กู่หรงอธิบายให้ตํารวจหญิงคนนั้นฟัง “เพราะในสถานีตํารวจปลอดภัยที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้น เขาคงอยู่ไม่รอดเมื่อคืน ”
เมื่อตํารวจหญิงได้ยินดังนั้น ก็นึกถึงท่าทางเมื่อเช้าของท่านฉุงสาม เธอเข้าใจได้ในทันที จากนั้นสายตาที่มองไป๋ยี่เฟยก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
นี่เป็นเด็กเสเพลจากตระกูลที่ร่ำรวยจริงๆงั้นเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้น การฆ่าคนก็ยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ดี!
กู่หรงเองก็กําลังนึกถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน จึงถามอย่างสงสัยว่า “สิ่งที่นายพูดกับท่านฉุงสามที่โรงพยาบาลเป็นเรื่องจริงเหรอ? พวกเขาจะกลับไปอย่างเชื่อฟังจริงๆงั้นเหรอ? ”
“มันเป็นเรื่องจริง” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่า ผมจะไม่เป็นอะไร”
“เพราะอะไร” กู่หรงไม่เข้าใจ “แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำอะไรนายได้ แต่ในเมื่อนายฆ่าคนแล้ว และยังมีหลักฐานชัดเจนขนาดนั้น ยังไงนายก็ต้องตายอยู่ดี”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย และไม่ได้ตอบอะไร
เมื่อตํารวจหญิงเห็นดังนั้นแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะเตะเขา “ทําไมนายไม่พูดล่ะ” นายโกหกอยู่ใช่ไหม? ”
“ไม่มีใครช่วยนายได้หรอก!”
ไป๋ยี่เฟยได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร
กู่หรงขมวดคิ้ว “คนของนายจะมาปล้นนายงั้นเหรอ? ”
ไป๋ยี่เฟยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง “หัวหน้า หัวหน้าคิดว่าเขาจะมาปล้นนักโทษในลานประลองโบราณอย่างนั้นเหรอ? ”
กู่หรงรู้สึกเสียหน้า “ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ที่นี่เป็นถนนที่ห่างไกล ข้างนายก็มียอดฝีมืออยู่มากมาย ใครจะไปรับประกันว่าพวกเขาจะไม่มาปล้นนาย? ”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างจนใจว่า “คนรอบข้างผมเป็นคนดี พวกเขาจะไม่ออกไปทําเรื่องผิดกฎหมายแบบนี้หรอก ”
ตำรวจหญิงเตะเขาอีกครั้ง และไป๋ยี่เฟย ก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ผมพูดว่า คุณกำลังละเมิดธุรกิจส่วนตัว!”
“นาย พูดเหลวไหล!” ตํารวจหญิงโมโห
ไป๋ยี่เฟยพูดว่า “งั้นคุณก็อย่าเตะผมสิ!” ผมยังบาดเจ็บอยู่นะ การที่คุณเตะผม มันไม่ได้เป็นการละเมิดธุรกิจส่วนตัวหรอกเหรอ? ”
ตํารวจหญิงหน้าแดงและพูดกับกู่หรงว่า “หัวหน้า ฉันไม่ได้…”
กู่หรงโบกมือ “เขาแค่ล้อคุณเล่นน่ะ” ”
ตำรวจหญิงจ้องไปที่ไป๋ยี่เฟย และตัดสินใจที่จะไม่คุยกับไป๋ยี่เฟยแล้ว
ไป๋ยี่เฟยแสยะยิ้ม “เงียบๆแบบนี้ดีจริงเลย ทําไมเด็กผู้หญิงถึงมาเป็นตํารวจล่ะ? ทั้งอันตราย ทั้งเหนื่อย และยังถูกรังแกอีก ”
“ฉันอยากให้นายมายุ่งเหรอ? ” ตํารวจหญิงตะโกนไปทีหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่และไม่ได้ตอบอีก
กู่หรงเหลือบตามองไปอย่างตํารวจหญิงคนนั้น แล้วส่งสัญญาณให้เธอไม่ต้องไปพูดกับไป๋ยี่เฟยให้มาก
ตํารวจหญิงรู้สึกอึดอัดใจมาก ถ้าทําได้ หล่อนอยากจะละเมิดธุรกิจส่วนตัวจริงๆ แค่หล่อนไม่ตีไป๋ยี่เฟยให้ฟันล่วงก็เกินพอแล้วล่ะ?
“ไม่มีใครมาช่วยนาย แล้วนายจะแน่ใจได้อย่างไรว่านายจะปลอดภัย?” กู่หรงถามอย่างสงสัย “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เรื่องนี้เป็นเหตุผลทางกฎหมาย เพราะเรื่องนี้มันไม่มีน้ำหนักมากพอ
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก” ”
“ตั้งแต่แรก ทุกคนคิดว่าผมสู้หลิ่วซื่อกรุ๊ปไม่ได้ แต่หลิ่วซื่อกรุ๊ปก็ล้มละลาย และก็คิดว่าผมรับมือเย่อ้ายกับบริษัทมากกว่ายี่สิบแห่งไม่ได้ แต่พวกเขาทั้งหมดก็แพ้ผมหมดแล้ว”
“สุดท้าย ทุกคนต่างก็คิดว่าผมไม่สามารถฆ่าฉุงโยวเวยได้ แล้วผลสุดท้ายล่ะเป็นไง?”
กู่หรงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ต่อให้ไป๋ยี่เฟยไม่พูดอย่างนี้ เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าทําไมไป๋ยี่เฟยถึงได้มั่นใจว่าตนเองจะไม่เป็นไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยเรื่องนี้ไป และเปลี่ยนคําถาม
“นายฆ่า ฉุงโยวเวย เพราะหัวหน้าฉินงั้นเหรอ”