บทที่ 471
ไอ้หน้าแผลมีดใจแข็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนี้ ช่างแม่งเถอะ คนของพวกเขาเยอะขนาดนี้ ยังไม่เชื่อว่าจะฆ่าไป๋ยี่เฟยคนเดียวไม่ได้!
“ผมว่า ทุกคนมาร่วมมือกัน แล้วแบ่งผลเท่ากันเป็นอย่างไร?” ไอ้หน้าแผลมีดเริ่มพูดคุยกับทุกคน
ไอ้มังกรตาเดียวไอ้ตาเดียวส่งเสียงกร้าว “ก็ดีเหมือนกัน ยังไงทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่ใช่หรือ?”
“ผมไม่มีความเห็น” หัวโล้นเป็นคนของตระกูลเย่ และไอ้หน้าแผลมีดเป็นคนของตระกูลฉุง แต่เดิมทั้งสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน ดังนั้นจึงไม่มีการคัดค้านใดๆหลังจากที่ไอ้หน้าแผลมีดเสนอออกมา
ชายผิวสีดำครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาเป็นสมาชิกของสหพันธ์ธุรกิจในเมืองหลวง แน่นอนว่าผลงานนี้เขาต้องแตกต่างจากคนของสี่ตระกูลใหญ่
ไป๋ยี่เฟยหมดความอดทน “ผมไม่มีเวลารอให้พวกคุณพูดคุยกันหรอก ถ้าอยากจะฆ่าก็มาฆ่าเลย ถ้าไม่ฆ่า งั้นก็ถึงเวลาที่เราต้องลงมือก่อนแล้ว”
“อะไรนะ?”
ทุกคนตะลึงไปเลยทีเดียว
ในเวลาต่อมา ไป๋ยี่เฟยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่า! ไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียว!”
ในขณะที่คำพูดนั้นจบลง เฉินอ้าวเจียวและพวกของเขาก็รีบวิ่งเข้าไป
ในขณะนี้ พวกเขาถึงตระหนักได้ว่า อันที่จริงพวกเขาคิดผิดไปทั้งหมด
สิบเอ็ดคนพวกนี้ไม่ได้เป็นคนของตระกูลไป๋ แต่เป็นคนของไป๋ยี่เฟย
แต่พวกเขาตกใจมาก ไป๋ยี่เฟยมีทีมที่แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนที่ตรวจสอบในข้อมูลของเขาไม่พบเลยสักนิด!
นี่มันเป็นยังไงกันแน่?
รวมไป๋ยี่เฟยแล้ว ทั้งหมดมีสิบสองคน
พวกเขาพุ่งเข้าไปในฝูงชนราวกับวิญญาณ และกำลังเก็บเกี่ยวชีวิตของทุกคนอยู่
พวกเขาไม่มีอาวุธอยู่ในมือเลย แต่ว่าแต่ละท่านั้นร้ายกาจมาก
เฉินอ้าวเจียวเผชิญหน้ากับผู้นำของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงคนเดียวโดยตรง ก็คือคนผิวคล้ำคนนั้น ดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว คนๆนี้น่าจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เฉินอ้าวเจียวดูเหมือนจะประเมินค่าเขาสูงเกินไป
ความเร็วของคนผิวดำ เป็นเหมือนการเคลื่อนไหวช้า ในสายตาของเฉินอ้าวเจียว
เขาถือมีด ด้วยจังหวะแบ็คแฮนด์ ก็เชือดเข้าที่คอของเขา
ดวงตาของชายผิวดำเบิกกว้าง และก็ล้มลงไปที่พื้นโดยตรง
“ไก่อ่อน!” เฉินอ้าวเจียวเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็เริ่มเข้าไปเก็บเกี่ยวที่ท่ามกลางผู้คน
ไป๋ยี่เฟยก็เช่นเดียวกัน คว้ามีดของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย ยกมีดขึ้นและตัดลง ฝ่ายตรงข้ามก็ถูกฆ่าตายแล้ว
ทั้งสิบสองคนเกือบจะเป็นเช่นเดียวกันและเก็บหัวคนได้ในระหว่างยกมีดขึ้งและตัดลงเท่านั้น
“เชี่ย! ทำไมพวกมันถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?” ไอ้หน้าแผลมีดเห็นว่าชายผิวสีดำถูกเฉินอ้าวเจียวจัดการไปในมีดเดียว และก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว
ไอ้ตาเดียวก็เริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปที่ไอ้หน้าแผลมีดแล้วพูดว่า “เราสู้เขาไม่ไหว ถ้าอยู่ต่อไปเราจะต้องตายแน่นอน!”
“เราถอนตัวกันเถอะ!” ไอ้หน้าแผลมีดวิ่งไปตามทางออกของวิลล่าโดยไม่ลังเล
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้หยุดพวกเขาไว้เมื่อเห็นเช่นนี้ แต่กลับเพิ่มความเร็วในการเก็บเกี่ยวหัวคนให้ไวขึ้น
ไม่กี่นาทีต่อมา ไป๋ยี่เฟยก็ถอยออกไปข้างๆ มองไปรอบๆ และพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“อ่อนเกินไป!”
นี่ก็คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด
สี่ตระกูลใหญ่และสหพันธ์ธุรกิจของเมืองหลวง จะส่งคนที่อ่อนเช่นนี้มาได้อย่างไร?
ลองคิดดูก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉุงโยวเวยส่งคนมาฆ่าเขา คนพวกนั้นล้วนเป็นคนเก่งกล้าฝีมือยอดเยี่ยมทั้งนั้น และปรมาจารย์ที่จางเถ่หลินนำมานั้น แข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้มากนัก
ในทางตรงกันข้ามคนพวกนี้เป็นเหมือนกลุ่มอันธพาลกลุ่มเล็กๆ ที่มีฝีมือเพียงเล็กน้อย และพวกเขาอ่อนแออย่างสิ้นเชิง
สายตาของไป๋ยี่เฟยจริงจังมากขึ้น และคนที่จะฆ่าเขาจริงๆยังไม่มาเหรอ!
สิบนาทีต่อมา ทุกคนทั้งหมดก็ถูกกำจัดไปอย่างเรียบร้อยแล้ว นอกจากไอ้หน้าแผลมีดและไอ้ตาเดียวที่หลบหนีไปได้
………..
หลังจากไอ้หน้าแผลมีดและไอ้ตาเดียวจากไปคนหนึ่งเดินไปที่ประตูด้านทิศตะวันออก และอีกคนหนึ่งก็ไปยังประตูทางทิศตะวันตก
ไอ้หน้าแผลมีดไปถึงประตูทางทิศตะวันออก และรีบร้อนที่จะออกไป แต่ยามเฝ้าหน้าประตูไม่ยอมปล่อยเขาไป ไอ้หน้าแผลมีดก็บีบแตรอย่างแรง “แม่งเอ้ย รีบเปิดประตูเร็วเข้า!”
“เปิดประตูเหรอ!”
เมื่อเสียงคำพูดจบลง ประตูห้องยามก็ถูกเปิดออก และไป๋หู่และจงเหลียนก็เดินออกมา
ทันทีที่ไอ้หน้าแผลมีดเห็นพวกเขาทั้งสองดวงตาก็เบิกกว้าง “ไป๋หู่!”
ไป๋หู่กระแทกหมัดเข้าไปทีหนึ่ง และกระจกของรถยนต์ก็ถูกทุบแตกโดยตรง
ด้วยเสียง “ชน” ไอ้หน้าแผลมีดปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็ว และรีบไปที่ที่นั่งข้างคนขับ และออกไปจากประตูรถอีกด้านหนึ่ง และพยายามอยากจะวิ่งตรงข้ามรั้วออกไป
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาเปิดประตูจงเหลียนก็ต่อยเขากลับเข้าไปในรถ
“ตูม!”
“อ๊ะ!”
ไอ้หน้าแผลมีดกระแทกเข้ากับรถยนต์ แม้ว่าจงเหลียนที่อยู่ต่อหน้าจะเตี้ย และอ้วน แต่ความแข็งแกร่งของเธอก็ไม่ได้อ่อนเลย แค่หมัดเดียวในเมื่อกี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้ว
“ผมขอร้องแล้ว พี่สาว คนสวย ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ……..” ไอ้หน้าแผลมีดกลัวแล้ว
โดยไม่ได้พูดอะไรจงเหลียนก็ชกเข้าไปอีกทีหนึ่งด้วยหมัด มี “เสียงชก” ดังขึ้นบนใบหน้าของไอ้หน้าแผลมีด พ่นเลือดออกมาเต็มปาก และหน้าอกของเขาก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง
ไป๋หู่ก็เดินเข้าไป หิ้วร่างของไอ้หน้าแผลมีดขึ้นมาเหมือนหิ้วไก่ตัวน้อย และเหลือบมองไปที่จงเหลียน “ไป”
ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดสิ่งเดียวขึ้นที่ประตูทิศทางตะวันตกเช่นกัน ไอ้ตาเดียวก็ถูกสวีลั่งและจางหัวปินหยุดไว้
สวีลั่งลงมือไปทั้งสองข้าง และไอ้ตาเดียวก็เป็นลมไปโดยตรง
…………
ที่ประตูวิลล่า ไป๋หู่และสวีลั่งต่างคนต่างหิ้วร่างของคนสองคนแล้วโยนพวกเขาลงบนพื้น
ไป๋ยี่เฟยเพียงแค่มองไปที่มัน และพูดว่า “ฆ่า!”
เมื่อพูดจบ ไป๋หู่ก็บีบคอของไอ้หน้าแผลมีดให้หักด้วยมือของเขา ส่วนสวีลั่งก็หยิบมีดโค้งของตัวเองออกมา และเชิ้ดปิดชีวิตไปด้วยมีด
จนถึงขณะนี้ ผู้คนเกือบร้อยคนที่มาที่นี่ เสียชีวิตไปทั้งหมด
ในทางตรงกันข้าม คนของไป๋ยี่เฟยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
“พวกหลิงหลิงควรกลับไปได้แล้ว และสำหรับพวกเราที่เหลือ ก็เพียงพอแล้ว ที่จะจัดการกับคนที่จะตามหลังมา”
หลังจากพูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็มองไปที่จางหัวปิน “หัวปิน คุณก็กลับไปด้วยเถอะ!”
“ผมสามารถให้ข้อมูลได้ทันเวลา” จางหัวปินกล่าว เขาไม่เป็นกังฟูเลยก็จริง แต่ทางด้านการส่งข่าวให้ข้อมูลนั้นไม่มีใครเทียบได้เลย หากพวกเขาได้รับข้อมูลเร็วกว่า พวกเขาก็จะมีอันตรายที่น้อยลง
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว “หลังจากกลับไปแล้ว การเชื่อมสายก็สามารถทำได้”
จางหัวปินอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ไป๋ยี่เฟยยกมือขึ้นขัดจังหวะเขา “พี่สะใภ้ต้องการคุณ”
เมื่อพูดจบ จางหัวปินก็หยุดพูด และสุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “โอเค ผมจะกลับไป”
จางหัวปินขึ้นไปนั่งบนรถคนเดียว และขับออกไปคนเดียว ส่วนคนที่เหลือก็เบียดอยู่บนรถสองสามคัน แล้วขับออกจากวิลล่าไป