บทที่559
“จริงด้วย ฉันไม่มีเทปเลยนี่นา” ไป๋ยี่เฟยเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านของตัวเอง “ไม่สิ ที่นี่มีเทปมั้ย?”
ฉีฉีไม่ได้ตอบ เธอแค่ยื่นยาที่ให้ไป๋ยี่เฟยกินเมื่อวานมาอีกเม็ด “กินซะ”
พูดจบ ฉีฉีก็กลับห้องของตัวเองไป
ไป๋ยี่เฟยที่จนปัญญา จึงต้องกลับเข้าห้องไป ตักน้ำมา ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำ แล้วเช็ดตัวเท่านั้น
พอเช็ดตัวเสร็จ ไป๋ยี่เฟยก็หลับสบายไปเลย
หลังจากที่หลับไปไม่นาน ความฝันนั้นก็มาอีกแล้ว
เขายังคงรู้สึกสะลึมสะลือ อยากตื่นก็ตื่นไม่ได้
แถมยังมีคนมาถอดเสื้อของเขาอีก จากนั้นก็เหมือนเดิม มือเล็กๆ คู่หนึ่งจับมาที่แผล แล้วต่อด้วยความรู้สึกที่ร้อนผ่าว
ตอนเช้าตรู่ ไป๋ยี่เฟยสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมานั่ง
“ไม่ใช่! มันไม่ใช่ความฝัน!”
ไป๋ยี่เฟยนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองในสองวันนี้ มันไม่เหมือนความฝันเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้!
งั้นก็แสดงว่า เขาถูกวางยาสินะ!
แล้วเขาไปโดนวางยาตอนไหนล่ะ?
พอนึกอยู่นาน ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็นึกออก
ฉีฉีเอายาให้เขากินทุกวัน วันละเม็ด เธอบอกว่ามันเป็นยารักษา วันแรกที่กินไปพอตื่นขึ้นมาแล้ว แผลมันก็ดีขึ้นมากจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจ
วันที่สองก็ไม่ต่างกัน
นั่นมันไม่ใช่ยารักษา แต่มันคือยานอนหลับต่างหาก
แต่ว่าแผลมันก็ดีขึ้นมากจริงๆ
แล้ววันนี้รู้สึกว่ามันจะดีกว่าเมื่อวานอีกด้วย แถมยังรู้สึกสดชื่นมากด้วย รู้สึกเหมือนสามารถวิดพื้นสักสองร้อยครั้งก็ยังได้
พอลุกขึ้นมา ไป๋ยี่เฟยก็ลงไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้าน เขายังคงคิดไม่ตกว่าทำไมแผลมันถึงได้ดีขึ้นเร็วขนาดนี้
เดินไปเดินมา ไป๋ยี่เฟยก็มองไปที่ประตูหน้าบ้าน แล้วสายตาของเขาก็เป็นประกาย แอบเหลือบไปมองวิลล่า แล้วทำเป็นเดินเล่นต่อไป จนออกจากประตูหน้าบ้านไป
พอออกมาได้ ไป๋ยี่เฟยก็ยังแสร้งทำเป็นเดินเล่นอยู่ จนเดินออกห่างวิลล่าได้ช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็วิ่งปรู๊ดไปข้างหน้าทันที
เขาต้องหนี หนีให้พ้นจากเงื้อมมือของฉีฉี เขาต้องหาเรือให้เจอ แล้วกลับไปที่เมืองเทียนเป่ย
พอไป๋ยี่เฟยวิ่งไปได้สักพัก เขาก็สังเกตเห็นว่าที่นี่น่าจะเป็นโซนของวิลล่า ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะหาทางออกเจอ แล้ววิ่งต่อไปอีกพักใหญ่จนมาถึงในเมืองสักที
ตึกสูงมากมายที่ตั้งเรียงรายเต็มไปหมด ร้านต่างๆ มากมาย จนไป๋ยี่เฟยรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองที่อยู่บนแผ่นดิน แต่ไม่ใช้บนเกาะเลย
เนื่องจากวิ่งเป็นเวลานาน แผลที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็ได้เจ็บขึ้นมาอีกครั้ง
ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็หยุดวิ่ง แล้วสำรวจไปรอบๆ
เขาสังเกตว่าคนส่วนใหญ่บนถนนนั้นใช้การเดินเท้า คนที่ขับรถน้อยมาก บางส่วนที่เดินอยู่ก็เป็นชาวต่างชาติด้วย
ทันใดนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่แสนคุ้นหูดังขึ้น
มันเป็นเสียงเครื่องยนต์ของรถออฟโรดที่ฉีฉีขับเมื่อวาน
ฉีฉีตามเขามาแล้ว!
ด้วยความตกใจ ไป๋ยี่เฟยที่ยืนอยู่ข้างถนนก็มองไปยังร้านที่อยู่ตรงหน้า ไม่สนแล้วว่ามันคือร้านอะไร เขาตัดสินใจพุ่งเข้าไปทันที
พอเข้าไปแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นบาร์
แต่ว่า ไป๋ยี่เฟยก็ต้องรู้สึกงงว่ากลางวันแสกๆ แบบนี้มีบาร์เขาเปิดกันด้วยเหรอ? ทำไมถึงมีคนอยู่เยอะขนาดนี้? ประชุมกันอยู่เหรอ?
ทันทีที่ไป๋ยี่เฟยพุ่งเข้ามาคนพวกนั้นก็หันมามองเขาทันที
ไป๋ยี่เฟยถึงกับหน้าเหวอ ไม่กล้าเปิดปากพูดก่อน
คนพวกนั้นต่างทำหน้าโหดเหี้ยม ส่วนคนที่เป็นหัวหน้านั้นยังเสยผมขึ้นไปอย่างเงางามด้วย เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเขาเป็นหัวโจก
หัวโจกคนนั้นค่อนข้างอ้วน พอเห็นไป๋ยี่เฟยเข้ามา เขาก็พูดด้วยความโมโหว่า “ทำไมถึงเพิ่งมา? มัวไปทำอะไรอยู่?”
พอได้ยินอย่างนั้น ไป๋ยี่เฟยก็กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ สมองรีบสั่งการออกมาว่า “ตื่นสายครับ……”
“จะไม่มีโอกาสครั้งต่อไปอีกแล้ว! เข้ามานี่!” ไอ้อ้วนทำเสียงฮึดฮัด และไม่อยากจะถามต่อด้วย
สิ้นเสียง สายตาของทุกคนก็ได้หันกลับไป
ไป๋ยี่เฟยยังรู้สึกงงอยู่ บาร์ของที่นี่เขาเริ่มงานกันเช้าขนาดนี้เลยเหรอ? แถมยังมีเวลากำหนดด้วย?
ไป๋ยี่เฟยเดินเกร็งๆ ไปที่หน้าเคาน์เตอร์ แล้วคลำๆ ที่กระเป๋ากางเกง ยังดีนะที่อาจารย์ให้เงินมาด้วย ไม่อย่างนั้นน้ำก็คงไม่มีปัญญากิน
เขาคิดว่า เพื่อไม่ให้ถูกสงสัย ต่อให้ร่างกายที่บาดเจ็บจะดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แต่ก็ต้องสั่งมาไว้อยู่ดี
ทันทีที่เขาล้วงเงินออกมาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม
“ปั้ง!”
ชายหัวหยิกคนหนึ่งก็ได้โยนทองที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือก้อนหนึ่งลงบนเคาน์เตอร์ แล้วพูดกับบาร์เทนเดอร์ว่า “เอาเบียร์สโนว์มาสองขวด”
บาร์เทนเดอร์เหล่ตามองเขา แล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “หลินจื่อ แค่นี้มันไม่พอจ่ายหรอกนะ”
หลินจื่อยิ้มแหะๆ “ถ้าวันหลังนายไปกินข้าวที่ร้านฉัน เดี๋ยวฉันให้พี่สาวลดราคาให้”
พอฟังจบ บาร์เทนเดอร์ก็ยิ้มออกมาด้วยความจนใจ “ก็ได้ เอาไป”
พูดจบ เขาก็ยื่นเบียร์สโนว์ให้หลินจื่อสองขวด
พอเห็นอย่างนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ค่อยๆ เอามือออกจากกระเป๋ากางเกง
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?
ทองคำหนึ่งก้อนแลกกับเบียร์สโนว์สองขวดเนี่ยนะ?
ล้อกันเล่นใช่มั้ย?
แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา : ไม่เสียงแรงที่เป็นหลันเต่า ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อขาย แต่เขาใช้ทองซื้อขายกันต่างหาก
มันเป็นครั้งแรกในช่วงสองปีมีนี้เลยนะ ที่ไป๋ยี่เฟยรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นได้แค่ยาจกเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง ชายที่ชื่อหลินจื่อนั้นก็ได้เอาเบียร์สโนว์ขวดหนึ่งวางไว้ตรงหน้าไป๋ยี่เฟย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่น้องชายนี่นายเพิ่งเคยเข้าร่วมการยกพวกตีกันครั้งแรกใช่มั้ย?”
“ยกพวกตีกันเหรอ?” ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจ
พอเห็นอย่างนั้น หลินจื่อก็เข้าใจว่านี่เป็นครั้งแรกของไป๋ยี่เฟยจริงๆ ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงได้รู้สึกกลัว เขาจึงพูดให้กำลังใจว่า “ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวนายก็อยู่กับฉัน ฉันรับรองได้เลยว่านายจะรอดกลับมารับเงินได้อย่างแน่นอน”
รอดมารับเงินเหรอ?
เรื่องบ้าอะไรเนี่ย?
เพื่อไม่ให้มีพิรุธ ไป๋ยี่เฟยจึงได้พยักหน้าไป “ได้ ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปก็ติดตามฉันไป รับรองว่านายจะได้ใส่เงินใส่ทอง มีกินมีใช้ ไม่แน่ยังอาจจะได้ไปจากหลันเต่านี้ด้วย!” หลินจื่อตบๆ มาที่ไหล่ของไป๋ยี่เฟย
คำพูดนี้มันยังทำให้ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจ
ทำไมเขาถึงดูเหมือนอยากจากไปจากเกาะนี้มากเลย?
และเหมือนการที่จะออกจากที่นี่นั้นมันเป็นเรื่องที่ยากมาก
สิบนาทีหลังจากนั้น ไอ้อ้วนหัวโจกมองดูเวลา แล้วพูดขึ้นว่า “ลุย!”
พูดจบ ไอ้อ้วนก็ล้วงมีดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พากันหยิอาวุธของตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น ท่อนไม้ ท่อเหล็ก บางคนก็คว้าขาเก้าอี้มา ขอแค่สามารถเอาไปใช้เป็นอาวุธได้ก็หยิบมาหมด
ไป๋ยี่เฟยเห็นหลินจื่อที่อยู่ข้างๆ “แคร๊ง” ฟาดขวดเบียร์จนแตกแล้วกำมันไว้ในมือ
ไป๋ยี่เฟยก็ทำตามอย่างเงียบๆ ฟาดขวดเบียร์จนแตก แล้วถือมันไว้ในมือ
สุดท้าย ภายใต้การนำของไอ้อ้วน ทุกคนก็พากันเดินออกจากร้านไปด้วยความห้าวหาญ
ไป๋ยี่เฟยรองสังเกตดู คนกลุ่มนี้น่าจะมีราวๆ สี่ห้าสิบคน
ส่วนหลินจื่อก็เดินอยู่ข้างหลังของกลุ่ม เดินไปด้วยท่าทางที่ไม่เข้าพวก
คนที่เดินผ่านไปผ่านมา พอเห็นคนกลุ่มนี้เข้า ก็พากันหลบออกไป เพราะไม่อย่าจะเดือดร้อน
ไอ้อ้วนพากลุ่มคนเดินทะลุไปหลังซอยจนมาโผล่ในที่โล่งแจ้งแห่งหนึ่ง
ส่วนอีกด้านหนึ่งของสนามก็ได้มีกลุ่มคนที่คล้ายกันกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ พวกนั้นก็ดูฮึกเหิมไม่ต่างกัน แถมอาวุธในมือก็เหมือนๆ กันด้วย
คนทั้งสองกลุ่มยืนประจันหน้ากันด้วยความมั่นใจอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หน้าใหญ่ พวกแกล้ำเส้นไปแล้วนะ ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่ของเหมืองที่สามนะ”
“ไอ้หัวหมู พล่ามหาแม่แกสิ! ไปบอกเจ้านายของพวกแกเลยนะ ว่าที่นั่นมันเป็นพื้นที่ของเหมืองที่สี่ตั้งแต่แรกแล้ว!”
“ฉันว่าพวกแกไม่พอใจมากกว่า!”
“ไม่พอใจตั้งแต่แรกแล้วโว้ย!