บทที่ 591
หลิวเสี่ยวอิงกลับไม่เห็นด้วย คิดจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปพักผ่อน ไป๋ยี่เฟยกลับโบกมือ กล่าวว่า “ยานั่นที่บอกกับคุณ ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม?”
“ไม่มี” หลิวเสี่ยวอิงส่ายหน้า “แต่ฉันเตรียมยาประเภทยานอนหลับไว้แล้ว จะเอาไหม?”
ไป๋ยี่เฟยครุ่นคิด แล้วพยักหน้า “ก็ได้”
……
เมื่อถึงห้องพักฉีฉีแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็เข้าไป นั่งตรงหน้าเธอ
ฉีฉีเองก็ถูกหลิวเสี่ยวอิงจัดการทำแผลให้ใหม่เช่นกัน ตอนนี้ได้สติแล้ว กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง พอเห็นไป๋ยี่เฟย ก็พลันตื่นตัวขึ้นมาทันที
ไป๋ยี่เฟยนั่งอยู่ตรงหน้าเธออย่างไม่ใส่ใจ ถามยิ้มๆ ว่า “กินอะไรหรือยัง?”
ฉีฉีสีหน้าซีดขาว แต่แววตาเย็นเยียบ เธอจ้องมองไป๋ยี่เฟย โดยไม่กล่าวตอบคำใด
ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่สนใจเช่นกัน เพราะเขาเห็นชามเปล่าที่อยู่บนโต๊ะแล้ว ดังนั้นจึงนำยาเม็ดที่อยู่ในมือส่งให้ฉีฉี “กินซะ”
เห็นเช่นนี้ แววตาฉีฉีก็เคร่งเครียดขึ้นมา จ้องยาที่อยู่ในมือไป๋ยี่เฟย ถามว่า “นี่ยาอะไร?”
“ยาฆ่าเชื้อ”
ฉีฉีไม่เชื่อ “นายโกหกฉัน เมื่อกี้หมอผู้หญิงคนนั้นให้ฉันกินแล้ว”
“ยานอนหลับ” ไป๋ยี่เฟยสีหน้าไม่เปลี่ยน
พอฉีฉีได้ยินก็จ้องไป๋ยี่เฟยอย่างดุร้าย “ไม่มีทาง! ฉันไม่กิน!”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงเรียบ “มีสองทางเลือก จะกินเข้าไป หรือ จะให้ฉันฆ่าเธอ”
ฉีฉีหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง “แก!”
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เธอควรรู้ไว้ ตอนนี้เธออยู่ในมือฉัน เธอทำได้แค่ฟังฉันเท่านั้น”
ฉีฉีลังเล
สถานที่แห่งนั้น สถานที่ที่ทองท่วมภูเขาแห่งนั้น เป็นความลับที่พวกเขาสองคนต่างรู้กันดี
แต่พวกเขาไม่อยากนำความลับนี้บอกให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการฆ่าฝ่ายตรงข้าม
ตอนนี้ ฉีฉีตกอยู่ในมือไป๋ยี่เฟย ตอนที่กำลังคิดว่าไป๋ยี่เฟยจะกำจัดตัวเองอยู่นั้น ไป๋ยี่เฟยถึงกับให้คนช่วยชีวิตเธอไว้
นี่เป็นสิ่งที่ฉีฉีคิดไม่ตก
ฉีฉีถาม “ทำไมถึงช่วยฉัน?”
ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน พูดตามตรงว่า “เพราะเธอรู้ความลับมากมาย ฉันอยากจะล้วงความลับจากเธอ”
ฉีฉียิ้มหยัน “นายไม่กลัวว่าฉันจะหลอกนายเหรอ?”
“จะจริงหรือหลอก ฉันแยกแยะเองได้” ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงเรียบ
ฉีฉีแค่นเสียงเย็น กล่าวเหยียดหยามว่า “ฝันไปเถอะ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจฉีฉี นำยาส่งให้เธออีกครั้ง “เรื่องพวกนั้นค่อยว่ากันทีหลัง เธอกินยาก่อน”
ฉีฉีกดใบหน้าลงต่ำ หันศีรษะหนี ไม่ยอมกิน
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาลุกขึ้นยืน ใช้มือบีบคางของฉีฉีไว้ จากนั้นก็เอายายัดเข้าไปในปาก แล้วออกแรงกดไปที่บาดแผลเธอ
“โอ๊ย!”
ฉีฉีเจ็บจนร้อง ยาจึงไหลเข้าไปในลำคอ เธอกลืนลงไปโดยสัญชาตญาณ
ไป๋ยี่เฟยปล่อยฉีฉี ฉีฉีถลึงตามองไป๋ยี่เฟย “ฉันจะฟ้องเมียนาย ว่านายใช้กำลังกับฉัน!”
ไป๋ยี่เฟยยืนอยู่ข้างเตียงลดสายตาลงมองฉีฉี กล่าวเสียงราบเรียบ “หากเธอบอก ฉันจะจับเธอโยนลงไปเป็นอาหารให้ฉลาม!”
สิ้นคำ ไป๋ยี่เฟยก็หมุนตัวเดินจากไป
ฉีฉีไม่ยินยอม ถลึงตามองเงาหลังของไป๋ยี่เฟยอย่างดุร้าย “ช้าเร็วต้องมีสักวัน ฉันจะเอาคืนแน่!”
……
ไป๋ยี่เฟยออกมาอยู่บนทางเดิน เตรียมจะเดินไปยังห้องของตัวเอง
จู่ๆ จางหัวปินก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
“แย่แล้ว!”
จางหัวปินนำมือถือส่งให้ไป๋ยี่เฟยอย่างเร่งรีบ
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของจากหัวปิน ก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง ในภาพจำของเขา น้อยมากที่เห็นจางหัวปินตื่นตระหนกแบบนี้
เขารับมือถือมา ไป๋ยี่เฟยดูผ่านๆ ทีหนึ่ง เป็นข้อความส่งมาจากบุคคลนิรนาม
“ตระกูลจ้าวที่เมืองหลัน ส่งเฮลิคอปเตอร์พร้อมอาวุธหนักห้าลำ ไล่กวดพวกนายมาแล้ว หนีเร็ว!”
ไป๋ยี่เฟยเห็นข้อความนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ใครส่งข้อความมา?”
“ไม่รู้” จางหัวปินส่ายหน้า
ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่ซักถามว่าใครเป็นคนส่งข้อความมาแล้วเช่นกัน เพราะว่ามันไม่สำคัญอีกแล้ว สิ่งสำคัญคือ หากข้อความนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว
จ้าวเทียนถูกไป๋ยี่เฟยฆ่าตาย หากตระกูลจ้าวแก้แค้นให้จ้าวเทียน จะต้องระเบิดจมเรือพวกเขาแน่
เรือสำราญลำนี้ของพวกเขาเป็นเรือสำราญธรรมดา ไม่มีอาวุธใดๆ
ไป๋ยี่เฟยพลันถามว่า “บนเรือมีเรือกู้ชีพกับเสื้อชูชีพพอไหม?”
จางหัวปินตอบ “เรือกู้ชีพมีแค่สองลำ ไม่พอ เสื้อชูชีพมีคนละหนึ่งตัว พอ”
ไป๋ยี่เฟยกล่าว “แจกจ่ายเสื้อชูชีพไปก่อน”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็รีบเดินไปยังห้องคนขับที่หัวเรือทันที
คนขับที่อยู่ในห้องคนขับ เป็นคนขับเรือมืออาชีพ เรือสำราญลำนี้ที่พวกเขาเช่ามารวมไปถึงลูกเรือเหล่านี้
ตอนเพิ่งเริ่มเดินทาง ลูกเรือเหล่านี้คิดว่าพวกเขาแค่มาท่องเที่ยว ใครจะรู้ว่าจะมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้?
ตอนที่มาถึงหลันเต่า พวกเขาแปลกใจมาก เพราะในแผนที่หาไม่พบเกาะนี้โดยสิ้นเชิง พวกเขาออกทะเลตลอดทั้งปี ก็ไม่เคยได้ยินถึงเกาะแห่งนี้
ต่อมาเกิดเหตุปะทะยิงกันอย่างรุนแรง จึงทำให้ลูกเรือเหล่านี้ตื่นตระหนกไม่หาย
ด้วยเหตุนี้ หลังรู้ว่าไป๋ยี่เฟยเป็นหัวหน้าพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกเรือหรือกัปตันเรือ ต่างก็เคารพยำเกรงไป๋ยี่เฟยเป็นอันมาก
หลังไป๋ยี่เฟยเข้าไปก็ถามทันทีว่า “แถวๆ นี้มีเกาะไหม? เอาใกล้ที่สุด”
ชายวัยสี่สิบถึงห้าสิบปีที่สวมชุดกะลาสีคนหนึ่งเปิดเครื่องนำทางทันที พลางตอบว่า “ห่างจากตรงนี้ในทะเลเป็นจุดที่มีเกาะโขดหินอยู่ครับ”
สิ้นคำ ไป๋ยี่เฟยกล่าว “รีบไปที่นั่นทันที”
“ครับ!” ชายคนนั้นเห็นไป๋ยี่เฟยเต็มไปด้วยความจริงจัง ก็รีบเรียกลูกเรือมาเปลี่ยนทิศหัวเรือทันที โดยหันไปทางเกาะโขดหินแห่งนั้น
จางหัวปินก็รีบรุดมาที่ห้องคนขับเช่นกัน พอเห็นไป๋ยี่เฟยจึงกล่าวว่า “ฉันติดต่อซูต้าหลิวแล้ว บอกให้พวกเขาหาเรือมารับพวกเรา”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า กล่าวกับกัปตันเรือว่า “ตอนนี้เป็นเวลาคับขัน เร่งความเร็วเรือให้ผมได้มากที่สุด”
กัปตันเรือสีหน้าจริงจัง “ครับ!”
“พี่จาง ตอนนี้ไปแจ้งกับทุกคน ให้พวกเขามารวมตัวกัน รอเตรียมขึ้นเกาะได้ทุกเมื่อ”
จางหัวปินพยักหน้าทันที
ในทะเลห่างจากฝั่งประมาณสิบแปดกิโลเมตร เพราะนี่คือเรือสำราญความเร็วสิบสี่นอต ดังนั้นจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว
ที่เรียกว่าเกาะโขดหินนั้น เนื่องจากเป็นเพราะพวกมันเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก
ใหญ่หน่อยก็ประมาณสิบกว่าตารางกิโลเมตร เล็กสุดไม่ถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร ที่นี่มีเกาะโขดหินเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ประมาณสิบกว่าเกาะ
พอมาถึง ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สั่งให้ทุกคนลงจากเรือทันที แต่แบ่งคนให้ไปอยู่ทีมละหนึ่งเกาะ
ตอนที่ทุกคนลงไปเกือบจะหมดแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็ถามลูกเรือที่ลงเรือคนสุดท้ายว่า “พวกคุณใครมีความกล้ามากที่สุด?”
สิ้นคำ ทุกคนเงียบไม่พูดจา
ไป๋ยี่เฟยกล่าว “เรือลำนี้ รักษาไว้ไม่ได้แล้ว แต่คุณวางใจ ขอเพียงกลับถึงฝั่ง ผมจะชดใช้ค่าเสียหายให้พวกคุณทั้งหมด”
“แต่ พวกเราจะต้องล่อเป้าหมายไปยังพื้นที่อีกแห่ง ไม่ให้พวกนั้นพบที่นี่ ดังนั้นจึงต้องขับเรือขึ้นไปยังทะเล”
“ทำแบบนี้อันตรายมาก ดังนั้น ผมจึงต้องการลูกเรือที่ขับเรือเป็นสักคนมาด้วยกันกับผม”
“พวกคุณมีใครไม่กลัวบ้าง”
ในกลุ่มคนสุดท้าย มีสวีลั่งกับพี่น้องตระกูลหยางอยู่ด้วย
หลังฟังไป๋ยี่เฟยพูดจบ สวีลั่งก็หน้าขรึมลง เดินเข้ามาพลางกล่าวว่า “ไม่ได้ อันตรายเกินไป คุณไปไม่ได้ หากต้องไปล่ะก็ ผมจะเป็นคนไปเอง”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินก็รีบตวาดทันที “หุบปาก ฟังฉัน”
สิ้นคำ ไป๋ยี่เฟยก็กล่าวอีกว่า “อย่าลืมเรื่องที่นายรับปากผู้อื่นไว้