บทที่637
“เดี๋ยวฉันไปเอง พวกแกไม่ใช่สายงานเดียวกัน เขาไม่กลัวแกหรอก” ชายที่ออกมาห้ามพูดพร้อมหรี่ตา
พูดจบ เขาก็เดินจากไป
หม่าจิ่นหลงหันไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ต่อ แล้วพูดไปร้องไห้ไป “อารอง ฝีมือของไอ้หมอนั่นไม่ธรรมดาเลย อาต้องเอาคนไปเยอะหน่อยนะครับ”
ชายคนนั้นทำเสียงฮึดฮัด “ต่อให้เก่งแค่ไหนแล้วคิดว่ามันจะสู้คนเป็นสิบๆ ได้รึไง? แกไม่ต้องห่วง ชื่อหม่าเซียจื่อของอารองคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ชื่อนะ”
พูดจบ ลูกน้องคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับมือถือ “ลูกพี่ครับ ได้เรื่องแล้วครับ”
หม่าเซียจื่อรีบรับมือถือมา พูดไปก็เรียกพี่น้องของตัวเองไป “ไป เรียนพี่น้องของเรามาให้หมด ไปแก้แค้นให้หลานชายของฉันกัน”
หม่าจิ่นหลงมองดูกลุ่มคนที่จากไป เขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “แม่ง กล้าทำร้ายฉัน คอยดูอารองเอาแกตายแน่!”
อารองของเขาก็คือนักเลงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเมืองเป่ยไห่ หม่าเซียจื่อนั่นเอง
ส่วนคนที่ออกไปก่อนนั้น ก็คือพ่อของหม่าจิ่นหลง นักธุรกิจของเมืองเป่ยไห่ หม่าอาน มีธุรกิจหลายอย่างที่เขาได้ทำร่วมกับเย่ฮวน
หลังจากที่หม่าอานออกไป เขาก็โทรหาเย่ฮวนทันที “เย่ฮวน นี่มันหมายความว่ายังไง?”
เย่ฮวนไม่เข้าใจ “คุณพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ครับ?”
หม่าอานขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเย่ฮวนไม่รู้เรื่อง “คุณไม่รู้เรื่องเลยเหรอ?”
เย่ฮวนงงหนักกว่าเดิม “เรื่องอะไรครับ? ผมไม่เข้าใจ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หม่าอานจึงต้องเล่าเรื่องที่หม่าจิ่นหลงถูกทำร้ายให้เย่ฮวนฟัง แถมยังบอกไปอีกว่าชายคนนั้นอยู่กับเย่อ้าย
จากนั้น หม่าอานยังพูดต่ออีกว่า “ถ้าคุณไม่มีส่วนรู้เห็น เรื่องนี้มันก็จะง่ายหน่อย คอยดูผมจะเอาไอ้หนูนั่นให้ตายเลย!”
พอวางสาย เขาก็รีบเรียกคนขับให้สตาร์ทรถ แล้วเดินทางไปดูสถานการณ์ด้วยตนเอง
ความจริงเศรษฐีแบบพวกเขาไม่จำเป็นต้องไปดูด้วยตนเองก็ได้แต่คนที่ถูกทำร้ายคือลูกชายของเขา ดังนั้นเขาจึงต้องไปควบคุมเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป ต่อไปก็จะไม่มีคนกล้าหาเรื่อง หม่าจิ่นหลงอีก
แต่รถยังไม่ทันได้ถึงบาร์ สายจากเย่ฮวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หม่าอานรับสาย ขมวดคิ้ว “เย่ฮวน ผมไม่สนหรอกนะว่าคนที่อยู่กับน้องสาวคุณจะเป็นใคร และไม่สนด้วยว่าพวกคุณเป็นอะไรกัน ผมจะได้รับคำขอร้องจากคุณใดๆ ทั้งสิ้น”
เย่ฮวนไม่พอใจไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตาหม่า ผมไม่ได้จะโทรมาขอร้องคุณ ผมแค่อยากจะโทรมาห้ามคุณ ทางที่ดีคุณควรปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเถอะ”
“นี่แม่งยังไม่ใช่ขอร้องอีกเหรอ? คนที่โดนทำร้ายไม่ใช่ลูกคุณสักหน่อย เย่ฮวน เรื่องนี้คุณอย่าเข้ามายุ่ง ไม่อย่างนั้นจะหน้าว่าผมไม่ไว้หน้าไม่ได้นะ”
เย่ฮวนยิ้มออกมาอย่างข่มขืน “ผมไม่ได้ขอร้องจริงๆ ผมแค่อยากบอกคุณว่า ทางที่ดีอย่าไปหาเรื่องชายคนนั้นดีกว่าเขาไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องด้วยได้”
“หมายความว่ายังไง?” หม่าอานซีเรียสขึ้นมาก “คุณรู้ใช่มั้ยว่าเขาเป็นใคร”
เย่ฮวนพูดขึ้น “เมื่อกี้ผมให้คนไปถามดูแล้ว”
หม่าอานพูด “ถ้าอย่างนั้นก็บอกผมมาสิว่ามันเป็นใคร”
เย่ฮวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “มันเป็นหมาบ้าตัวหนึ่ง”
……
ในเวลาเดียวกัน ได้มีลูกกระจ๊อกที่มีอาวุธครบมือกว่าห้าหกสิบคนพากันเดินไปยังโรงแรมที่ไป๋ยี่เฟยพักอยู่
คนที่เดินผ่านไปผ่านมา พอเห็นคนพวกนี้เข้าก็รีบหลบไปทันที
แต่ตอนที่พวกเขาใกล้จะถึงโรงแรม ก็ถูกชายที่ใส่ชุดขาวทั้งตัวเข้ามาขวางไว้
“แม่งเอ๊ย! แกเป็นใคร?”
“กล้ามาขวางทางเรา อยากตายใช่มั้ย?”
“อย่าพูดมากเลย จัดการมัน!”
ทันใดนั้น หม่าเซียจื่อก็ยกมือขึ้น พวกลูกกระจ๊อกก็เงียบลงทันที จากนั้นเขาก็เดินไปทางชายคนนั้นทันที
“ฉางเชี่ยวเหรอ?” ทันทีที่หม่าเซียจื่อเห็นว่าชายคนนั้นเป็นใคร เขาก็อึ้งไป
เขากับเย่ฮวนนั้นร่วมงานกัน และได้ร่วมมือกับฉุงโยวเวยด้วย ฉุงโยวเวยกับฉางเชี่ยวนับถือกันราวพี่น้อง ดังนั้นหม่าเซียจื่อก็ต้องเคยเห็นหน้าฉางเชี่ยวอยู่แล้ว
หม่าเซียจื่อขมวดคิ้ว “คุณจะมาขวางเราไว้ทำไม?”
ฉางเชี่ยวค่อยๆ กวาดตามองคนกลุ่มนั้น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ผมมาเพื่อช่วยพวกคุณ”
“หมายความว่ายังไง?” หม่าเซียจื่อชะงักไป
ฉางเชี่ยวขำออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “คุณเคยช่วยเหลือผม ผมจึงมาเตือนคุณด้วยความหวังดี คนที่คุณจะไปหาตอนนี้คุณสู้เขาไม่ได้หรอก”
เมื่อหม่าเซียจื่อได้ยินอย่างนั้น เขาก็โมโหขึ้นมาทันที “เหลวไหล ตอนนี้ในเมืองเป่ยไห่ยังมีใครที่หม่าเซียจื่อคนนี้มีเรื่องด้วยไม่ได้อีกเหรอ หลีกไป!”
เมื่อเห็นอย่างนั้น ฉางเชี่ยวก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็หลบออกไปไม่ขวางพวกนั้นอีก
……
ในตอนนี้ ที่บาร์ของฟ่านกวางหมิง ชายที่สวมหน้ากากคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนาน เขาได้เดินขึ้นห้องผู้จัดการที่อยู่ชั้นสองไปอย่างเงียบสงบ
เมื่อรปภที่อยู่ชั้นสองเห็นชายสวมหน้ากากเข้า ก็ถามไปว่า “คุณมาหาใคร?”
แต่พอถามไป เขาก็ถูกชายสวมหน้ากากฆ่าตายทันที โดยไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกเลย
……
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยกลับมาถึงที่โรงแรม เขาก็ได้เขาไปคุยกับพวกไป๋หู่ก่อนจะกลับเข้าห้องตัวเองไป
หลังอาบน้ำเสร็จ เขาก็หยิบมือถือออกมาโทรหาหลี่เสว่
“ที่รัก คุณอยู่ทางนั่นจนชินรึยัง? มีใครรังแกคุณมั้ย? เงินพอใช้รึเปล่า? จะให้ผม……”
เขาไม่ได้เจอหลี่เสว่มาหลายวันแล้ว เมื่อได้คุยกับเธอความคิดถึงทั้งหมดที่มีก็กลายเป็นคำถามที่มีแต่ความเป็นห่วงแต่สิ่งที่ที่ได้ยินกลับไม่ใช่คำตอบที่อ่อนโยนจากหลี่เสว่ แต่เป็นคำถามติติงจากหลี่เสว่เท่านั้น
“ทำไมตอนนี้คุณถึงได้ใจร้อนแบบนี้คะ? ตอนนี้คุณดันไปมีปัญหากับหลี่จู้ เดิมทีโอกาสที่จะได้ที่ดินผืนนั้นมาครองก็น้อยมากอยู่แล้ว แบบนั้นยิงหมดหวังเข้าไปใหญ่”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป จากนั้นก็อธิบายไปว่า “เขาเกือบฆ่าสวีลั่งไปแล้วนะครับ”
การที่หลี่เสวยสามารถรู้เรื่องพวกนี้ได้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เนื่องจากเธออยู่ที่สหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลี่เสว่ก็ถอนหายใจออกมาโดยรู้สึกว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เล็กมาก “เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน ฉันเดาว่ามีคนจงใจให้คุณทำแบบนั้นค่ะ”
“หมายความว่ายังไงครับ?” ไป๋ยี่เฟยตกใจเล็กน้อย
จู่ๆ น้ำเสียงของหลี่เสว่ก็เคร่งขรึมขึ้นมา “รายละเอียดทั้งหมดฉันก็ไม่รู้ แต่ตอนกลางวันฉันเห็นเอกสารที่คุณไปฆ่าหวังโหวเข้า มันละเอียดมาก ฉันจึงแอบถ่ายรูปมา เดี๋ยวฉันส่งให้นะคะ”
ไป๋ยี่เฟยตอบไปว่า “อืม ครับ”
พูดจบทั้งคู่ก็เงียบไป เหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
สักพัก ไป๋ยี่เฟยก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่รัก คิดถึงผมมั้ยครับ?”
หลี่เสว่เงียบ
เมื่อไป๋ยี่เฟยไม่ได้รับคำตอบใดๆ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แล้วเตรียมที่จะว่างสาย เขารู้ดีว่าหลี่เสว่เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออก เรื่องบางเรื่องเธอจะไม่พูดมันออกมาตรงๆ หรอก
แต่ตอนที่เขากำลังจะวางสายอยู่นั้น เสียงของหลี่เสว่ก็ดังขึ้น “คิดถึงค่ะ”
พูดจบ สายก็ถูกตัดไป ส่วนไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน ไป๋ยี่เฟยก็ได้คิดอะไรบางอย่างได้ : ยังไงก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้หลี่จู้เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ผืนนั้น และไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น หลี่เสว่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว
เขาต้องจัดการเรื่องของหลี่เสว่ให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยไปเกลี้ยกล่อมเธอที่เมืองหลวง
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า เขายิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเองขึ้นไปอีก
จากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ได้รับเอกสารที่หลี่เสว่ส่งมา มันเป็นเอกสารหลายใบที่ถูกถ่ายรูปไว้
ในเอกสารพวกนั้นไม่ได้บอกว่าทำไมหลี่จู้ถึงส่งหวังโหวไปฆ่าสวีลั่ง และไม่มีหลักฐาน ข้อมูลหลายอย่างตรงกับที่พวกเขาเข้าใจ แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือ บิลการโอนเงินใบหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยใช้ความคิด เมื่อกี้หลี่เสว่บอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน งั้นก็แสดงว่า มันต้องเกี่ยวกับบิลพวกนี้แน่ๆ
ว่าแล้วเขาก็ส่งบิลใบนั่นไปให้จางหัวปินตรวจสอบดู
เสร็จแล้ว ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็มีโอกาสได้พักผ่อนสักที
แต่ทันทีที่เขานอนลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วแล้วเดินไปเปิดประตู พอประตูเปิดออก ไป๋ยี่เฟยก็อึ้งไปเลย
เพราะคนที่อยู่หน้าห้องเป็นเด็กสาวยี่สิบต้นๆ ที่ใส่กระโปรงสั่นกับหุ่นสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง
กลิ่นน้ำหอมมากมายอบอวลอยู่ที่ตัวของสาวน้อย กลิ่นน้ำหอมลอยเขาจมูกของไป๋ยี่เฟย ทำให้ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ
สาวน้อยส่งยิ้มยั่วยวนให้ไป๋ยี่เฟย “คุณผู้ชาย สนใจใช้บริการมั้ยคะ?”
ไป๋ยี่เฟยถามไปอย่างงงๆ “บริการอะไรเหรอครับ?”
หญิงสาวตอบไปว่า “บริการนวดค่ะ”