บทที่ 652
โรงแรมฮัวคายโหลในห้องสูทหรูห้องหนึ่ง
ไป๋เจียวในชุดกี่เพ้าสีขาวนั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟา ในมือถือแก้วไวน์ เขย่าไปมา ฟังชายร่างอวบกำลังรายงานเรื่องอยู่ด้านข้าง
ท่านั่งของเธอสง่า งดงาม และสายตาเธอก็ส่อแววอารมณ์ความชั่วร้าย
“เย่ฮวนทำลายแหล่งของไป๋ยี่เฟยไปหลายสิบแห่ง ตรวจสอบโรงงานหลายแห่ง เย่ซื่อกรุ๊ปกับเฟยเสว่กรุ๊ปกำลังอยู่ในสงครามแย่งชิงราคาประมูล ตอนนี้เฟยเสว่กรุ๊ปจะรับไม่ไหวแล้ว”
“เวลาเดียวกัน เฟยเสว่กรุ๊ปยังไม่เอาคืน พวกเขาใช้ความได้เปรียบของท่าเรือ ทำให้เย่ซื่อกรุ๊ปได้รับผลกระทบจากการค้าภายนอก”
“การคาดการณ์เริ่มต้น ทั้งสองบริษัทขาดทุนร้อยล้านต่อวัน รวมยอดการขาดทุนขาดถึงพันล้าน”
รายงานเสร็จแล้ว เขาก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ที่รัก คุณเก่งจริงๆ ใช้แผนการแค่นิดเดียวก็ทำให้เย่ฮวนกับไป๋ยี่เฟยรบกันเอาเป็นเอาตาย”
ไป๋เจียวพยักหน้าเล็กน้อย สำหรับคำชมของเขาก็ดีใจ แต่ว่าพอเห็นชายร่างอวบคนนี้แล้ว กลับมีสีหน้ารังเกียจ จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา “แน่ใจหรือว่าพวกเขาไม่ได้แสดงละครให้ฉันดู?”
ชายร่างอวบส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ขาดทุนเป็นร้อยล้านทุกวัน เล่นละครไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้นเหรอ?”
ไป๋เจียวฟังคำพูดนี้จบ พยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเขา
แต่ไป๋เจียวไม่พอใจในตัวผู้ชาย พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “หลี่จู้ ฉันเคยเตือนคุณแล้ว อย่าเปิดเผยตัวตน”
“แล้วคุณ? ไร้ประโยชน์จริงๆ หวังโหวถูกฆ่าก็ถูกฆ่า แล้วคุณละ ยังไปติดต่อกับเขาอีก โง่จนไม่มียารักษาแล้ว”
“คุณรู้ไหม พฤติกรรมโง่เขลาของคุณ เกือบทำเรื่องฉันพังไปแล้ว”
หลี่จู้เห็นแล้วก็รีบพยักหน้า ก้มตัวประจบ “ใช่ใช่ใช่ เป็นความผิดผมเอง ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว”
ไป๋เจียวเห็นหลี่จู้ยอมรับผิดแบบนี้ ก็ทำเสียงเย็นชา ยิ่งไม่ใส่ใจเขา แต่เธอก็ไม่ได้ด่าหลี่จู้ต่อ แต่บ่นพึมพำเอง “ไป๋ยี่เฟย เย่ฮวน อวดดีนึกว่าตัวเองฉลาด ก็ยังถูกฉันปั่นหัวไม่รู้เรื่อง?”
“เฮ้อ ผ่านพรุ่งนี้ไป ฉันจะให้พวกแกรู้ ในเมืองเป่ยไห่ ใครใหญ่กันแน่”
“ก็แค่คนไร้ประโยชน์สองคน ตระกูลไป๋ตระกูลเย่ยังมีหน้าสนับสนุน? เฮ้อ ฉันจะบอกพวกแกให้ ว่าพวกแกโง่ขนาดไหน”
หลี่จู้ฟังคำพูดไป๋เจียวแล้ว ก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “ที่รักพูดถูก รอพรุ่งนี้ความจริงกระจ่างแล้ว ตระกูลไป๋ต้องเห็นคุณแน่ อาจจะให้พ่อคุณมาเป็นหัวหน้าตระกูลก็ได้ ถึงเวลา กฎเก่าๆของตระกูลไป๋ก็ต้องเปลี่ยนแล้ว”
“คุณฉลาดและเก่งที่สุด ลำพังตัวเอง ก็สามารถเปลี่ยนทุกอย่าง”
คำพูดประจบพวกนี้ แต่ก็เป็นคำพูดมีเหตุผล ไป๋เจียวฟังแล้วก็มีประโยชน์ ความรังเกียจในตัวหลี่จู้ก็ลดลงบ้าง
จากนั้นไป๋เจียวก็ยกแก้วไวน์ขึ้น มองไปนอกหน้าต่าง เม้มปากเบาๆ
และเบื้องหลังที่เธอไม่เห็น หลี่จู้มองเธอแล้วยิ้มอย่างมีเจ้าเล่ห์เหมือนรอดูอะไรบางอย่าง
……
ไป๋ยี่เฟยที่กลับไปถึงโรงพยาบาลโว่หลงกำลังเดินอยู่บนทางเดิน เขาจะไปหาสวีลั่งก่อน
แต่ระหว่างเดินอยู่นั้น ก็มีคนโผล่มาบนทางเดิน เห็นไป๋ยี่เฟยก็ยกเท้าขึ้นถีบ
ไป๋ยี่เฟยนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาถีบเขา หลบไม่ทัน โดนถีบเข้าที่หน้าท้อง กระเด็นไปไกล
“ปัง” เสียงดังขึ้น ล้มไปกับพื้น
ฉีฉีปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ยี่เฟย จ้องหน้าเขา พูดเสียงเรียบ “บอกฉันมา พี่ชายฉันคือใคร? เขาอยู่ไหน?”
เสียงดังกระทบไม่เบา ห้องผู้ป่วยสองด้าน ต่างยื่นหัวออกมาดู
พอดีไป๋หู่ก็อยู่ด้วย เขารีบเดินเข้าไป พยุงตัวไป๋ยี่เฟยไว้
ไป๋ยี่เฟยลุกขึ้น จับท้องตัวเอง พูดกับทุกคน “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรครับ”
ได้ยินประธานพูดเองแล้ว ทุกคนก็ปิดประตู กลับห้องตัวเอง
ไป๋ยี่เฟยพูดกับไป๋หู่ “นายก็ไปทำธุระตัวเองเลย ฉันไม่เป็นไร”
ไป๋หู่มองเขาอย่างลังเล แต่ก็เดินจากไป
ไป๋ยี่เฟยมองฉีฉีที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มเย็นชา “ผมให้คุณมีแรงเหมือนเดิน ไม่ใช่ให้คุณมาถีบผม”
จากครั้งก่อนที่พวกเขาคุยกันผ่านไปสองสามวันแล้ว ตอนนั้นคุยกับเสร็จแล้ว เขาก็ออกคำสั่งไปแล้วว่าไม่ต้องให้เธอกินยาอีก
ตอนนั้นทุกคนต่างกังวล แต่เพราะเป็นการตัดสินใจของไป๋ยี่เฟย จึงไม่มีคนถาม
ตอนนี้แรงของฉีฉีฟื้นฟูเต็มที่แล้ว จากพฤติกรรมเมื่อครู่ก็แน่ใจได้แล้ว
เรี่ยวแรงฟื้นฟูเต็มที่แล้ว ฉีฉีไม่ได้จากไป แต่อยู่รอไป๋ยี่เฟย อยากรู้ว่าพี่ชายตัวเองเป็นใคร
ความสามารถของฉีฉีก็กลับมาแล้ว พูดจาก็หนักแน่นเหมือนเดิม ความยโสไม่กลัวใครเหมือนที่เจอครั้งแรกก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว เธอพูดเสียงเรียบ “คุณไม่ต้องยุ่ง บอกฉันมา พี่ชายฉันอยู่ไหน?”
ไป๋ยี่เฟยเห็นแล้วรู้สึกเสียใจทีหลังเล็กน้อย แต่ก็พูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณดูสถานการณ์ก่อน ที่นี่มันถิ่นของผม”
ฉีฉีได้ยินแล้วก็หรี่ตาลง แววตาอาฆาต “ไป๋ยี่เฟย ถ้าไม่ใช่คุณที่ช่วยฉันไว้หลายครั้ง ฉันฆ่าคุณตั้งนานแล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าคุณ ไม่อยากตายก็บอกฉันมา”
ไป๋ยี่เฟยพูดเสียงเรียบ “ผมบอกแล้ว ที่นี่เป็นถิ่นของผม”
ฉีฉีมองไปอย่างเย็นชา “อย่าบังคับฉัน”
ไป๋ยี่เฟยพูดต่อ “ถิ่นของผม ผมตัดสินเอง”
ฉีฉีโมโห “อยากตายเหรอ”
เธอโดนไป๋ยี่เฟยยั่วโมโหแล้วจริง พูดจบแล้ว ก็พุ่งเข้าตัวออกไป ยกขาขึ้นหาไป๋ยี่เฟย ใช้เรี่ยวแรงเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ไอ้ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
ไป๋ยี่เฟยรู้ดี ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีฉี เพราะฉะนั้นเห็นฉีฉีจะลงมือ ก็รีบถอยหลังออก เวลาเดียวกัน ก็ร้องออกมา “ผู้อาวุโส จัดการเธอ”
ฉีฉียังถีบไม่ถูกคนเลย อยากถีบอีกครั้ง เพราะไป๋ยี่เฟยเรียกไปครั้งเดียว ชะงักไปวินาทีเดียว ก็ต้องตะลึง
เงาดำก็พุ่งออกมาจากห้องที่อยู่ด้านข้าง ฝ่ามือเดียว ฉีฉีก็กระเด็นไปไกล
“ปัง”
จากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้น
ซาเฟยหยางยิ้มกว้างยืนอยู่ข้างไป๋ยี่เฟย
ฉีฉีเลือดซึมมุมปาก เธอลุกจากพื้น เห็นไป๋ยี่เฟยกับซาเฟยหยาง ร่างก็เริ่มเอียงไปข้างหนึ่ง
เธอไม่อยากใช้ชีวิตที่ถูกขังอย่างไร้เรี่ยวแรง
เธอรู้ว่าซาเฟยหยางมีตัวตนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยซ่อนคนไว้ในโรงพยาบาล
ตอนแรกไป๋ยี่เฟยไม่ได้จะทำแบบนี้ แต่เขากลัวเธอมีอันตราย ก็เลยให้ซาเฟยหยางปกป้องสวีลั่ง
ไป๋ยี่เฟยเดินหน้าสองก้าว มองฉีฉีแล้วพูด “ผมไม่ได้บังคับคุณ แต่คุณบังคับผมเอง”
ฉีฉีไม่ได้พูด เหมือนเมื่อก่อน ใช้สายตาอาฆาตจ้องหน้าไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจ แต่พูดว่า “ผมบอกคุณไปแล้ว ว่าผมกับพี่ชายคุณเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นคุณจะฆ่าผมจริงเหรอ? คุณไม่คิดถึงความรู้สึกของพี่ชายคุณเลยเหรอ?”
ฉีฉีได้ยินแบบนี้แล้ว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เธอไม่ได้คิดถึงปัญหานี่จริง
ไป๋ยี่เฟยมองเธอแล้วส่ายหัว “ผมว่า คุณควรจะพิจารณาการตัดสินใจของตัวเองใหม่”
ฉีฉีฟังแล้ว สีหน้าเปลี่ยน ไป๋ยี่เฟยจะไม่บอกเธอแล้วเหรอ? เพราะเมื่อกี้เธอลงมือกับเขา?
วินาทีนี้ ฉีฉีรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เธอทำ
ความจริง เพราะเธอถูกไป๋ยี่เฟยขังไว้ตลอด ยังให้กินยาที่ทำให้ไม่มีแรง เธอรู้สึกอึดอัด และเครียด เพราะฉะนั้นตอนที่เรี่ยวแรงฟื้นฟูดีแล้ว เธอก็มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ก็คือหาเขาเพื่อระบายความโกรธ
แน่นอน เธอก็อยากรู้ว่าพี่ชายของเธอเป็นใครกันแน่ และอยู่ที่ไหน
แต่สุดท้าย เธอไม่ได้ระบายอารมณ์ ยังถูกทำร้ายอีก ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ไป๋ยี่เฟยไม่ยอมบอกเธออีก
ฉีฉีพูดอย่างเสียใจ “ไป๋ยี่เฟย เป็นความผิดฉันเอง ขอร้องคุณบอกฉันเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยเห็นฉีฉีก้มหน้ายอมรับผิด ก็รู้สึกใจอ่อน ผู้หญิงยโสอย่างฉีฉี ก้มหน้ายอมรับผิดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น เธออยากรู้ว่าพี่ชายของเธอเป็นใครจริง
แต่ว่า ไป๋ยี่เฟยก็รู้ อะไรที่ได้มาง่ายเกินไป ก็จะไม่รู้จัดรักษา ยังคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรได้
เพราะฉะนั้น คำพูดของไป๋ยี่เฟยเมื่อครู่ ไม่ได้ข่มขู่ฉีฉี
“ดูพฤติกรรมคุณละกัน” ไป๋ยี่เฟยพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็เดินเข้าออฟฟิศ
ฉีฉีรู้สึกกลัวซาเฟยหยาง แอบมองเขาไปครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เดินตามไป๋ยี่เฟยเข้าไป “ต้องทำยังไงคุณถึงจะพอใจ?”
ไป๋ยี่เฟยนั่งลงบนโซฟา ได้ยินคำถามของฉีฉี ก็พูดขึ้นว่า “อันนี้เหรอ……นวดไหล่ให้ผมก่อน”
“คุณ” ฉีฉีรู้สึกโมโห แต่สุดท้าย เธอก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องเดินไปข้างหลังไป๋ยี่เฟย นวดให้เขา”
ไป๋ยี่เฟย “ใช้แรงหน่อย”
ฉีฉีกัดฟัน ใช้แรงขึ้นอีก
“ซี๊ด……” ไป๋ยี่เฟยก้มไปข้างหน้า “ผมว่าคุณนวดเป็นหรือเปล่าเนี่ย? ใช้แรงหน่อย ไม่ใช่ใช้สุดแรง คุณอยากนวดจนไหล่ผมหักหรือไง?”