บทที่ 666 เอากุญแจรถให้ผม
จางหัวปินพูดว่า “ไป๋เจียวออกไปจากโรงแรมแล้ว ผมคาดเดาว่าอาจจะกลับไปเมืองหลวง”
สีหน้าไป๋ยี่เฟยเปลี่ยนอย่างรุนแรง เสียงเย็นชาตอบกลับว่า “รู้แล้ว”
หลังจากวางสายลง ไป๋ยี่เฟยลงไปข้างล่างทันที อยู่หน้าประตูมองเห็นเฉินห้าว
“เอากุญแจรถให้ผม!”
เฉินห้าวส่งกุญแจรถให้กับไป๋ยี่เฟยทันที
ไป๋ยี่เฟยเข้าไปนั่งในVolkswagenคันหนึ่ง เฉินห้าวกำลังเตรียมตัวจะนั่งอยู่ข้างคนขับ ไป๋ยี่เฟยกลับพูดว่า “ผมไปคนเดียว”
เฉินห้าวหยุดชะงักหนึ่งที จากนั้นปิดประตูรถไว้
ไป๋ยี่เฟยสตาร์ทรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
……
ในห้องผู้ป่วย เหลือเพียงแค่หยางเฉียวกับฉีฉี
ทั้งสองคนล้วนไม่ได้พูด ในห้องผู้ป่วยเงียบมาก
หยางเฉียวยังมักจะจ้องมองฉีฉีหนึ่งทีเสมอ
ฉีฉีรู้ว่าหยางเฉียวจ้องมองเธออยู่ อีกทั้งเธอก็เข้าใจความหมายของหยางเฉียวคืออะไร ในที่สุดอยู่ตอนที่หยางเฉียวมองไปอีกหนึ่งที ฉีฉีพูดเบาๆว่า “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะไม่แย่งเขากับคุณอยู่แล้ว ฉันเป็นน้องสาวของเขา”
“อ่า!” หยางเฉียวประหลาดใจในทันที จากนั้นเนื่องเพราะความคิดของตนเองถูกคนมองทะลุ รู้สึกเขินหน้าแดงขึ้นแล้ว
ฉีฉีจ้องมองไปยังหยางเฉียว เห็นลักษณะหน้าแดงของเธอ อยู่ดีๆในใจไม่มีความโมโหมากมายขนาดนั้นแล้ว เธอฝืนใจยิ้มแล้วยิ้มอีก พูดว่า “พี่สะใภ้ ท่านลำบากแล้ว”
หยางเฉียวได้ยินคำพูดส่ายหัวทันที ตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นคำ “ไม่……ไม่เป็น …….”
ฉีฉีจ้องมองเธอยิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างเบาๆ จึงพูดว่า “ตอนที่ฉันอายุสี่ปี พ่อแม่ของฉันเกิดอุบัติเหตุล้วนตายแล้ว ฉันยังเข้าอนุบาลอยู่ อะไรล้วนไม่รู้”
“ในเวลานั้นมีคนมารับฉัน ฉันก็เดินตามไปด้วยเลย ฉันถูกคนคนนั้นเลี้ยงจนโต จากนั้นจึงรู้ว่า พี่ชายหายสาบสูญไปแล้ว”
“ในเวลานั้นฉันรู้ว่าตนเองไม่มีพ่อแม่แล้ว แต่ว่าเด็กเกินไป ในใจไม่ได้เสียใจมากเลย แต่ฉันจำไว้ตลอดฉันมีพี่ชายคนหนึ่ง”
“ฉันชอบพี่ชายมาก มักจะติดอยู่ข้างกายเขา……”
หยางเฉียวฟังฉีฉีเล่าถึงอดีตของพวกเขาอย่างเงียบๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ดีๆฉีฉีไม่พูดแล้ว ในห้องเงียบลงทันที แต่ดูเหมือนไม่กะทันหันอย่างก่อนหน้านั้นขนาดนั้น
ผ่านไปอีกสักพัก ฉีฉีพูดว่า “ขอบคุณ พี่สะใภ้”
“ขอบคุณที่คุณให้ครอบครัวแห่งหนึ่งแก่พี่ชายฉัน” ฉีฉีพูดอย่างซาบซึ้งใจ
หยางเฉียวส่ายหัว สายตาหดหู่เยอะมาก “แท้ที่จริงแล้วฉันล้วนไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้สำหรับเขามากล่าวแล้ว เพียงแค่ภาระที่เกินมาเท่านั้น”
ฉีฉีก็ส่ายหัวเช่นกัน พูดว่า “ไม่ใช่ ฉันรู้ พี่ชายฉันย่อมอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน เนื่องเพราะมีคุณอยู่ พี่ชายฉันจึงไม่โดดเดี่ยว”
“ตอนที่ฉันรู้ว่าเขาเป็นพี่ชายของฉัน ฉันดีใจมากจริงๆ รู้ว่าคุณเป็นพี่สะใภ้ของฉัน ฉันยิ่งดีใจ”
ฉีฉีพูดไปพูดมาก็ยิ้มแล้ว รอยยิ้มในครั้งนี้ เป็นยิ้มจริงๆ
หยางเฉียวได้ยินคำพูดนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้นตามไปด้วยมากมาย ตื่นเต้นเล็กน้อยจ้องมองฉีฉี
ก็อยู่ในเวลานี้ อยู่ดีๆฉีฉีเปลี่ยนสีหน้า เสียงเย็นชาพูดว่า “ล้วนต้องโทษไป๋ยี่เฟย! เขาสมควรตาย!”
หยางเฉียวนิ่งอึ้งไปทันที
ฉีฉีพูดด้วยเสียงเย็นชาต่อว่า “พี่สะใภ้ รอบาดแผลของพี่ชายฉันหายแล้ว คุณจะต้องเกลี้ยกล่อมพี่ชายฉันอย่างแน่นอน ให้เขาอย่าติดตามไป๋ยี่เฟยอีกเลย”
หยางเฉียวไม่เข้าใจถามว่า “ทำไมล่ะ?”
ฉีฉีเงียบไปสักพัก จึงพูดกับหยางเฉียวว่า “พี่สะใภ้ เรื่องบางเรื่องฉันพูดไม่ได้ แต่ว่าคุณเชื่อฉัน ติดตามไป๋ยี่เฟยไม่ได้ ติดตามเขาเพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายยิ่งมายิ่งเยอะ นี่เพียงแค่เริ่มต้นจากนี้ไปยิ่งจะล่อแหลมอันตราย”
“ฉัน……ไม่เข้าใจ” หยางเฉียวยังคงไม่เข้าใจ อีกทั้งเห็นลักษณะฉีฉีเหมือนกำลังตำหนิต่อว่าไป๋ยี่เฟยอยู่ แต่ดูเหมือนฟังออกมาได้ถึงความเคารพยำเกรงที่ซุกซ่อนเล็กน้อยจากน้ำเสียงของเธอ
ฉีฉีเห็นสภาพมีความร้อนใจเล็กน้อย แต่ยังคงมีน้ำอดน้ำทนพูดว่า “พี่สะใภ้ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร คุณเพียงแค่รู้ว่า อย่าให้พี่ชายฉันทำมาหาเลี้ยงชีพให้รอดไปวันๆตามไป๋ยี่เฟยอีกก็พอแล้ว”
หยุดชะงักหนึ่งที ฉีฉีพูดอีกว่า “พี่สะใภ้ เมื่อกี้ฉันฟังน้ำเสียงของคุณ น่าจะไม่พอใจต่อไป๋ยี่เฟยใช่หรือไม่?”
หยางเฉียวได้ยินคำพูดหยุดชะงัก น้ำเสียงของเมื่อกี้มีเล็กน้อยจริงๆ
แต่ว่า หยางเฉียวระลึกถึงวันเวลาที่ตนเองอยู่ในหลันเต่า
เธอกับหยางหลินถูกพ่อแม่พาไปที่หลันเต่า แต่พ่อแม่ล้วนตายแล้ว เธอเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเลี้ยงน้องชายจนโต เธอตั้งใจทำให้ตนเองน่าเกลียดมาก เลี้ยงตนเองจนโตโดยลำพัง
จากนั้นเธอพบเจอกับไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยพาพวกเขาพี่น้องออกมา ก่อนหน้านี้ การออกจากหลันเต่าสำหรับพวกเขามากล่าวแล้วเป็นเรื่องเพ้อฝันจริงๆ
หลังจากนั้นอีก เธอนึกถึงสวีลั่งขึ้นเรือแทนไป๋ยี่เฟย ไปล่อศัตรูให้ออกไป
จากนั้น หยางเฉียวส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยแสง ยิ้มแล้วยิ้มอีก “ความไม่พอใจที่อยู่ในน้ำเสียงของฉัน แท้ที่จริงคือเนื่องเพราะเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว ”
“แต่นี่โทษไป๋ยี่เฟยไม่ได้”
“พี่ชายคุณเคยบอกกับฉันว่า ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในชาตินี้ของเขาก็คือหาน้องสาวของเขาเจอ เขาพูดว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเป็นนักฆ่า เหมือนดั่งเครื่องจักรเย็นยะเยือกเครื่องหนึ่ง อยู่ข้างกายเขามีเพียงแค่คืนมืดกับโดดเดี่ยวตลอดกาล”
“เขาพูดว่าเขาไม่มีเพื่อนใดๆ ก็ไม่เคยรู้ว่าตนเองทำไมต้องอยู่ จนถึงเขาพบเจอกับไป๋ยี่เฟย”
“เขาพูดกับฉันว่า ในเวลานั้นเขาจะฆ่าไป๋ยี่เฟย แต่ตนเองกลับตกอยู่ในกับดัก จะตายแล้ว ไป๋ยี่เฟยในเวลานั้นสามารถออกไปได้ด้วยตัวคนเดียว”
“แต่ว่าไป๋ยี่เฟยกลับไม่สนใจไยดีความอันตรายของชีวิตตนเอง ช่วยเขาออกมาเลย เขาพูดว่านี่คือบุญคุณการช่วยชีวิต งั้นก็ต้องคืนด้วยชีวิตของตนเองนี้ ดังนั้นเขาจึงติดตามไป๋ยี่เฟย”
“เขาพูดอีกว่า ก่อนที่จะพบเจอกับไป๋ยี่เฟย หลังจากอายุสิบปี ก็ไม่เคยยิ้มมาก่อน พบเจอกับไป๋ยี่เฟยแล้ว เขาจึงมีรอยยิ้มอีกครั้ง”
“แท้ที่จริง มีคำพูดหนึ่งคุณพูดผิดแล้ว ไม่ใช่เนื่องเพราะฉันจึงทำให้เขาไม่โดดเดี่ยว แต่เนื่องเพราะไป๋ยี่เฟย เพราะว่าพวกเขาคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกาย เขามีเพื่อนแล้วดังนั้นจึงไม่โดดเดี่ยว”
ฉีฉีจ้องมองหยางเฉียวอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่พูดไม่ออก
หยางเฉียวจ้องมองเธอหนึ่งที จากนั้นพูดต่ออีกว่า “ฉันกับน้องชายตอนที่ยังเด็กมากก็ถูกพ่อแม่พาไปยังหลันเต่าแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเขาล้วนตายแล้ว เหลือเพียงฉันคนเดียวพาน้องชายอยู่ต่อ ความเพ้อฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราก็คือออกจากหลันเต่า”
“ทุกวันพวกเราล้วนอยู่อย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น หวาดกลัวจะทำให้ใครโกรธ ไม่ทันระวังสูญเสียชีวิตไป แต่ว่าพวกเราพบเจอกับไป๋ยี่เฟยแล้ว”
“เขาพาพวกเราออกจากหลันเต่า เขาทำให้พวกเราสามารถใช้ชีวิตดั่งคนปกติ ก็คือเขาทำให้ฉันได้พบเจอกับพี่ชายของคุณเช่นกัน”
หยางเฉียวพูดอยู่ ลูกตากลิ้งอยู่ในขอบตา น้ำเสียงมีความสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ดังนั้น ฉันมีสิทธิอะไรไปไม่พอใจ มีสิทธิอะไรไปกล่าวโทษ? ยิ่งไม่มีสิทธิไปเรียกร้องให้พี่ลั่งไปทำอะไร”
“แต่ว่าฉันรู้ ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร ฉันล้วนยินยอมที่จะเดินต่อเป็นเพื่อนเขา ฉันไม่มีสิทธิเลือกแทนเขา แต่ว่าฉันมีความสามารถที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขา”
“พี่ชายคุณดูแล้วซื่อบื้อมาก แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีน้ำใจมีความชอบธรรม เขาจะไม่เพื่อตนเองสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ก็ละทิ้งมิตรภาพระหว่างพวกเขาพี่น้อง”
ฉีฉีได้ยินคำพูดเหล่านี้ เงียบสนิทไม่พูด
แท้ที่จริงมีบางเรื่องดูแล้วอาจจะง่ายมาก ก็เป็นเรื่องที่พูดเพียงแค่ประโยคหนึ่ง แต่ทำออกมาแล้วยากมาก โดยเฉพาะตอนที่คุณเผชิญหน้ากับการเลือก ยากยิ่งกว่ายาก
ฉีฉียืนอยู่มุมมองของตนเอง เขาหวังว่าพี่ชายของตนเองวันหลังสามารถหลีกห่างจากอันตราย นี่ไม่ได้ผิด แต่ว่าเธอไม่เคยนึกถึงความคิดของสวีลั่งเองมาก่อน ก็ไม่รู้ระหว่างสวีลั่งกับไป๋ยี่เฟยเคยประสบเจออะไรมาก่อนเช่นกัน
สวีลั่งพูดว่า บุญคุณการช่วยชีวิต จะต้องคืนด้วยชีวิตของตนเองนี้
……
บนทางด่วนที่จะขับออกไปจากเมืองเทียนเป่ย รถหรูหลายคันขับอย่างรวดเร็ว คันที่อยู่ข้างหน้าสุดเป็นAudi
ความเร็วของพวกเขาเร็วมาก เกินความเร็วขีดสูงสุดบนทางด่วนแล้ว
แต่ว่า อยู่ข้างหลังของพวกเขามีรถคันหนึ่งไล่ตามพวกเขาอยู่เหมือนเดิม เป็นVolkswagenคันหนึ่งที่ธรรมดามาก
คนขับรถAudiมองเห็นรถที่อยู่ข้างหลัง มีความหวาดกลัวเล็กน้อยพูดว่า “คุณหนูใหญ่ รถคันนั้นเหมือนไล่ตามพวกเราอยู่”
หลังจากไป๋เจียวได้ยินแล้ว ไปมองผ่านกระจกมองหลังทันที ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าขึงลับอยู่พูดว่า “ร้อนรนอะไรหรือ? เพียงแค่รถคันหนึ่ง มากที่สุดแค่สี่คน พวกเรามียี่สิบกว่าคน ยังกลัวพวกเขาอยู่หรือ?”
คนขับรถพยักหน้าพูดคล้อยตามทันที “คุณหนูใหญ่พูดถูกแล้ว คุณหนูใหญ่พูดถูกแล้ว”
แต่ว่าคนขับรถยังคงมีความหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงยังไงที่นี้ก็เป็นเขตอิทธิพลของเมืองเทียนเป่ย ก่อนหน้านั้นยังเกือบจะโดนคนใช้ไฟเผาตาย ดังนั้นมีความหวาดผวาระแวงไปหมดเล็กน้อย
สำหรับไป๋เจียว
ตัวเธอเองใช้สติปัญญาแทบล้มประดาตายในการวางหมากรอบหนึ่ง สามารถทำให้ไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนบอบช้ำทั้งสองฝ่าย ในเวลาเดียวกันยังสามารถได้รับที่ดินผืนนั้นอย่างไม่ต้องเสียแรงสักนิด
จากนี้มาพิสูจน์ว่าคือล้วนแข็งแกร่งกว่าผู้ชายเหล่านั้นของตระกูลไป๋ ทำให้ไอ้แก่เห็นชัดเจนสิ ใครจึงจะเป็นผู้ร้ายกาจที่สุดของตระกูลไป๋
แต่ความจริงคือ การวางหมากของเธอถูกมองทะลุไปนานแล้ว ถูกไป๋ยี่เฟยตบหนึ่งทีอย่างรุนแรง
ยังมีหลี่จู้สวะไอ้ขยะคนนั้น เธอล้วนนึกไม่ถึงว่าเขาสามารถเก็บอดกลั้นไว้ในใจขนาดนี้ได้ ถึงสุดท้าย คิดไม่ถึงว่ายังอยากจะเผาพวกเขาทั้งเป็น
ตอนนี้ในใจไป๋เจียวแค้นมาก แค้นคนทั้งหลาย
ล้วนเป็นคนเหล่านี้ทำให้เธอถูกหยอกล้อเหมือนดั่งโง่เขลาปัญญาอ่อน หลังจากเธอกลับไปตระกูลแล้ว พ่อแม่ย่อมตำหนิเธอ ตระกูลย่อมลงโทษเธออย่างแน่นอ