“พวกนายมาได้ยังไง?” ไป๋ยี่เฟยถามถามไป๋หู่และจงเหลียนที่นั่งอยู่ข้างเขา
ไป๋หู่ไม่ได้ตอบส่วนจงเหลียนยิ้มแล้วตอบ: “ทำงาน”
เพราะงานของพวกเขานั้นคือการอารักขาไป๋ยี่เฟย
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ไป๋หู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
ครั้งนี้เขาไปเมืองหลวงโดยไม่ได้วางแผนว่าจะพาคนไปด้วยเพราะเขารู้ว่าการไปเมืองหลวงนั้นมีความอันตรายมากเพียงใด เขาไม่สามารถจะยอมรับความสูญเสียใครในกลุ่มพวกเขาได้อีกแล้ว
“ถึงคุณจะแรงเยอะกว่าเรา แต่คนเดียวจะแข็งแกร่งสู้หลายคนได้ยังไง และมีบางเรื่องที่เราทำก็สะดวกดี” ไป๋หู่พูดอย่างเรียบเฉย
ไป๋ยี่เฟยตบไหล่เขาด้วยความซาบซึ้ง ไม่พูดอะไรมากและเดินไปข้างหน้าต่อไป
คนต่อไปคือเฉินอ้าวเจียว เฉินอ้าวเจียวยิ้มแล้วพูด “นายเป็นรุ่นน้องของฉัน รุ่นพี่คงจะไม่สามารถยอมเห็นรุ่นน้องโดนคนอื่นรังแกได้หรอกใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าและตาแดงก่ำ “ขอบคุณครับ!”
เฉินอ้าวเจียวยิ้ม
ไป๋ยี่เฟยเดินไปข้างหน้าอีกและสองที่นั่งข้างหน้ามีสวีลั่งและฉีฉีนั่งอยู่
สวีลั่งลุกขึ้นยืน ฉีฉีก็ลุกตามและพูดกับไป๋ยี่เฟย “ฉันยังอยากจะคิดบัญชีกับนายอยู่นะ นายอย่าหนีล่ะ!”
“ใช่!” สวีลั่งพยักหน้า
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกซาบซึ้งอยู่ภายในใจ ถึงแม้จะพูดแบบนี้แต่เขาก็เข้าใจความหมายของพวกเขาดีและไม่ได้แสดงออกมา เขาทำตามคำพูดของพวกเขาและแสร้งทำเป็นเออออ “พวกนายเป็นอะไรเนี่ย? หากฉันไม่ได้ช่วยพวกนายไว้ พวกนายอาจจะยังไปไม่ถึงไหน!”
พูดจบแล้วก็เหมือนจะคิดอะไรได้ ครั้งนี้เขาขึงขังขึ้น “ตอนนี้นายเป็นคนมีลูกมีเมีย ทำไมถึงได้หาเรื่องวุ่นวายแบบนี้ เรื่องของฉันต่อไปนายไม่ต้องยุ่งเลย”
สวีลั่งกลับส่ายหน้าและพูดอย่างหนักแน่น “เป็นพี่น้องกันก็ควรจะเข้าใจฉันสิ”
ไป๋ยี่เฟย: “…”
ฉีฉีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูด “พี่สะใภ้บอกว่าเพราะมีนาย ครอบครัวเราถึงได้เป็นครอบครัว ทุกคนถึงต้องอยู่ด้วยกัน!”
สวีลั่งได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ชื่นชมทันที: “ใช่ พี่สะใภ้เธอฉลาดมาก”
“ฉันยังติดค้างงานแต่งงานของพวกนายอีกงาน” ไป๋ยี่เฟยกระพริบตาแดงๆ ของเขา
สวีลั่งพูด: “ค่อยชดเชยให้ทีหลังก็ได้”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าและเดินไปต่อ จากนั้นก็เห็นซาเฟยหยาง
“รุ่นพี่…”
ไป๋ยี่เฟยแปลกใจเล็กน้อย อย่างไรเสียซาเฟยหยางต้องการอิสระ ไม่อยากจะต้องตามเขาไปเมืองหลวงแต่เขาก็ยังมา
ซาเฟยหยางยิ้มแล้วพูด: “นายไปคนหัวดี ไหนบอกว่าอยากเรียนดาบกับฉันไม่ใช่เหรอ? อย่างไรเสียฉันก็ไม่มีอะไรทำ สอนนายได้พอดี”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าและเก็บไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว “งั้นก็ขอบคุณมากครับรุ่นพี่”
คนต่อมาคือเฉินห้าว เฉินห้าวยืนและยิ้มกว้างให้ไป๋ยี่เฟย “พี่ผมรู้ผมอ่อนแอที่สุด แต่บางเรื่องผมทำได้ดีกว่าคนอื่น”
คนที่นั่งอยู่ข้างเฉินห้าวคือจางหัวปิน เขาเองก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับไป๋ยี่เฟย: “ฉันก็พอๆ กับห้าวจื่อ แต่เราสองคนน่าจะมีประโยชน์”
เฉินห้าวมือเท้าไวส่วนจางหัวปินมีเครือข่ายข่าวกรองของเขาเอง ซึ่งมีประโยชน์มากจริงๆ
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าและเดินไปข้างหน้าก็เห็นหลิวเสี่ยวอิงที่มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า
หลิวเสี่ยวอิงพูด: “ฉันเก่งเรื่องยา ยิ่งกว่านั้นถ้าโดนพิษฉันถอนพิษได้”
ไป๋ยี่เฟยมองหลิวเสี่ยวอิงแล้วพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูด “เอาไว้ไปถึงเมืองหลวงแล้วจะหาแฟนให้เธอแต่งงาน”
ไป๋ยี่เฟยกวาดสายตามองทุกคนแล้วเดินไปด้านหน้าสุดแล้วหันเข้าหาทุกคนและโค้งคำนับพวกเขา
“ขอบคุณ!”
คนที่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยไม่ต้องการพาใครไปเมืองหลวงเลยคนแรกก็คือจางหัวปิง
วันนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรจางหัวปินก็นอนไม่หลับ ภรรยาของเขาก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงได้พูดคุยกัน
“ทำไมถึงนอนไม่หลับ?”
“ครั้งก่อนมีคนบาดเจ็บกลับมามากมายขนาดนั้น ครั้งนี้เขาไปคนเดียว…”
“แต่เขาไม่อยากให้เราตามไปด้วยก็เพราะครั้งก่อนมีคนบาดเจ็บล้มตายเยอะมาก เขาไม่อยากให้มีเรื่องเกิดกับพวกเรา”
“งั้นคุณล่ะ? กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาไหม?”
ก่อนหน้านี้จางหัวปิงกับภรรยาของเขาเกือบจะต้องหย่ากันก็เป็นไป๋ยี่เฟยที่เป็นตัวกลางให้พวกเขากลับมาคืนนี้กันอีกครั้ง อีกทั้งยังรักษาดวงตาของเธอให้หายดี นี่เรียกได้ว่าบุญคุณ
ดังนั้นหลังจากที่นอนไม่หลับกลางดึก ภรรยาของเขาจึงพูดกับจางหัวปิน “คุณไปเถอะ”
จางหัวปินเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ตัดสินใจว่าจะไป แต่เขารู้นิสัยของไป๋ยี่เฟยดีถ้าหากเข้าไปบอกเขา เขาจะต้องไม่ยอมให้เขาไปแน่
ดังนั้นจางหัวปินจึงตัดสินใจยังไม่บอกไป๋ยี่เฟยจากนั้นเขาก็นำเรื่องนี้ไปคุยกับคนอื่นๆ
สุดท้ายก็คือไม่มีใครไม่ตามมาด้วยสักคน
พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องเจออะไร แต่พวกเขากลับหนักแน่นมากและตามมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ตอนนี้มีใครบางคนขึ้นเครื่องมาและคนคนนี้ไป๋ยี่เฟยก็รู้จัก กลายเป็นว่าเขาคือฉางเชี่ยวนั่นเอง
และยังมีบอดี้การ์ดตามหลังฉางเชี่ยวมาอีกสองคนดูแล้วเป็นพวกฝีมือเป็นเลิศ
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงเป็นอย่างมาก: “นายมาได้ยังไง?”
ฉางเชี่ยวพูดอย่างเรียบเฉย: “ฉันมาทวงหนี้นาย ครั้งก่อนเป็นการลงมือเพื่อนายครั้งสุดท้าย”
……
หลังจากเครื่องบินขึ้นแล้ว จางหัวปินก็ส่งข่าวล่าสุดที่ได้รับมารายงานกับไป๋ยี่เฟย
“หนิวต้ายลูกชายของหนิววั่งถูกคนจับตัวไป มีหลายคนเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้น ผมเองก็ได้รับภาพวงจรปิดจากสถานที่ใกล้เคียงและหาพยานเจอแล้ว”
“หลังพยานพูดจบ การตัดสินเบื้องต้นควรทำโดยหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่”
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินว่าหนิวต้ายถูกคนจับตัวไปก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ทันตั้งตัว
หนิววั่งตายแล้ว
หนิวต้ายเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหนิววั่ง ถึงแม้เขาจะไม่ได้มองหนิวต้ายในแง่ดี แต่เขาก็ยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหนิววั่ง
เดาไม่ยากพวกเขาจับตัวหนิวต้ายไปเพื่ออยากจะใช้หนิวต้ายคุกคามข่มขู่ไป๋ยี่เฟย นี่เป็นการล้ำเส้นไป๋ยี่เฟยอย่างไม่ต้องสงสัย
ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “หลังจากไปถึงเมืองหลวงแล้ว สืบดูว่าเป็นฝีมือใครแล้วเราค่อยลงมือ”
จางหัวปิงพยักหน้า
ตอนนี้ในจังหวัดเป๋ยไห่ ไม่มีภัยใด ๆ ต่อไป๋ยี่เฟย ศัตรูที่เขาต้องเผชิญในตอนนี้คือพวกยอดฝีมือในเมืองหลวงและแม้แต่บอสใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
อีกทั้งยังมีคนส่งพัสดุให้เขาต้องการจับให้หมดแล้วปราบให้สิ้นซาก
ไป๋ยี่เฟยมองออกไปนอกหน้าต่าง ความหนาวเย็นในดวงตาของเขาอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด
พวกเขารีบออกเดินทางจึงไม่ได้เตรียมตัวอะไร ดังนั้นการมาเมืองหลวงครั้งนี้ของพวกเขาจึงแทบไม่มีใครรู้
หลังจากถึงเมืองหลวงแล้วพวกเขาก็เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง
วันต่อมาไป๋ยี่เฟยเดินทางไปคลับส่วนตัวชื่อ “เทียนถังเก๋อ”
ร้อยละเจ็ดสิบถึงแปดสิบของอุตสาหกรรมในเมืองหลวงเกือบทั้งหมดถูกควบคุมโดยสี่ตระกูลใหญ่และสิบยักษ์ใหญ่
เทียนถังเก๋อแห่งนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้น และสถานที่ตั้งค่อนข้างห่างไกล และยังไม่เข้าตากลุ่มคนรวยพวกนั้น
และเพราะอย่างนี้ ไป๋ยี่เฟยจึงอยากจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์การพัฒนาของตนเองอีกทั้งยังสามารถประหยัดเวลาได้อีกด้วย
เพื่อที่จะไม่ต้องดึงดูดสายตาผู้คน เขาให้หลินเสี่ยวอิงพาขึ้นไป
แต่ระหว่างทาง หลิวเสี่ยวอิงรู้สึกรังเกียจการแต่งกายของไป๋ยี่เฟยมาก “เราแวะห้างเปลี่ยนชุดกันเถอะ เสื้อผ้านายดูไม่ได้เลยจริงๆ!”
“เสื้อฉันเป็นยังไง? ทำไมถึงดูไม่ได้?” ไป๋ยี่เฟยงงมาก
หลิวเสี่ยวอิงกลอกตา “พี่ชาย นี่มันเมืองหลวงนะ นายแต่งตัวแบบนี้ คนอื่นเขาเห็นแล้วเขาจะคิดว่านายมาจากบ้านนอก”
ไป๋ยี่เฟยยังคงยังคงยึดมั่นในหลักการสวมใส่สบาย ๆ ดังนั้นเสื้อผ้าที่เขาซื้อมาจากแผงขายของในท้องถิ่น เว้นแต่เขาจะเข้าร่วมในโอกาสสำคัญเป็นครั้งคราว เขาจะสวมเสื้อผ้าราคาแพงกว่าเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้น: “นั่นมันคลับเพื่อความบันเทิงไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องแต่งตัวเป็นทางการด้วย?”
หลิวเสี่ยวอิง: “…”
หลิวเสี่ยวอิงไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงกับไป๋ยี่เฟยดี สุดท้ายทำได้เพียงยอมแพ้