ไป๋ยี่เฟยยังคงตกตะลึงเล็กน้อยกับพฤติกรรมของเกาจื๋อ ราวกับไฟที่ลุกโชนซึ่งถูกเทด้วยน้ำเย็นในทันใด และทันใดนั้นก็ดับลง
“งั้นพวกคุณยังมีอะไรอีกไหม?” ไป๋ยี่เฟยคิดแล้วถาม
เกาจื๋อรีบส่ายหน้าทันที “ไม่มีแล้วครับ งั้นพวกเราขอลาไปก่อน?”
คำพูดสุดท้ายเขาใช้ประโยคคำถาม เพราะเขาไม่กล้าจะเป็นฝ่ายไปก่อน จึงต้องถามไป๋ยี่เฟยก่อน
“พาเขาไป” ไป๋ยี่เฟยชี้ไปที่ผู้ชายที่อยู่บนพื้น
“ครับ”
เกาจื๋อโบกมือให้ลูกน้องของเขาและพูด “ยังไม่รีบพาไปอีก อึ้งทำซากอะไร?”
อันที่จริงกลุ่มลูกน้องไม่ค่อยเข้าใจ ตอนมาท่าทางขึงขังพร้อมจะออกรบ พอมาถึงทำไมจู่ ๆ ลูกพี่กลับเกรงใจคนคนนี้?
แต่ที่สุดแล้วเขาคือลูกพี่ของตัวเอง และพวกอันธพาลพวกนี้ก็พูดยาก
ดังนั้นลูกน้องจึงทำความสะอาดที่เกิดเหตุทันทีและนำศพออกไป
เกาจื๋อก้มโค้งพร้อมกับเดินถอยหลังออกไป เขายิ้มและพูด “งั้น…พวกผมขอลาก่อนครับ”
เถ้าแก่คนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็ยิ่งไม่กล้าอยู่ต่อ รีบกลับไปพร้อมกับเกาจื๋อ
แต่โจวหลินยังไม่ไป เขายืนอยู่หลังไป๋ยี่เฟยอย่างซื่อตรง
คนที่เหลืออยู่คือหัวหน้าแผนกของคลับและกลุ่มบอดี้การ์ด พวกเขาต่างไม่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ก็ชัดเจนว่าคนตระกูลเกาดูเหมือนจะกลัวไป๋ยี่เฟยมาก พวกเขามาด้วยท่าทางขึงขัง แต่กลับวิ่งหางจุกตูดกลับไป
ดังนั้นหัวหน้าแผนกของคลับจึงมีสีหน้าซีดขาว เธอเพิ่งจะชี้เจาะจงไปที่ไป๋ยี่เฟยแถมยังผลักคงามรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ไป๋ยี่เฟยด้วย
ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงที่ไป๋ยี่เฟยพูดไว้ก่อนหน้านี้: เขาไม่กลัวแม้แต่สี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่และประธานสหพันธ์ธุรกิจสวี่เต้าจ่าง แล้วนับประสาอะไรกับตระกูลเกา!
ตอนนั้นพวกเขาคิดว่าเขากำลังโม้ เป็นพวกขี้โม้ แต่ตอนนี้พวกเขาเชื่อแล้ว
“ปัง!”
ทันใดนั้นหัวหน้าแผนกก็คุกเข่าลงและโค้งซ้ายขวา ตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“เพี๊ยะๆ…”
หัวหน้าแผนกได้สติทันทีว่าคนตรงหน้านั้นไม่ใช่คนที่ควรจะเข้าไปมีเรื่องด้วย
“ขอโทษค่ะ เถ้าแก่ ฉันผิดไปแล้วค่ะเถ้าแก่ ฉันมีตาหามีแววไม่ ฉันมันตาบอด เถ้าแก่ คุณอย่าถือสาฉันเลยนะคะ อย่าได้ถือสากับคนตัวเล็กๆ อย่างฉันเลย…”
หัวหน้าบอดี้การ์ดตกใจมากเมื่อเห็นหัวหน้าสโมสรเป็นแบบนี้ และเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาคุกเข่าและป้องกันไม่ให้ผู้หญิงตรงหน้าผลักความผิดทั้งหมดมาที่เขา
“เพี๊ยะๆ…”
หัวหน้าบอดี้การ์ดโค้งซ้ายขวา ตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ ขอโทษครับ…”
ไป๋ยี่เฟยยังคงแปลกใจที่เห็นฉากนี้
หัวหน้าแผนกกับหัวหน้าบอดี้การ์ดเป็นพวกรังแกคนอ่อนแอและกลัวคนแข็งแกร่งกว่า เป็นพวกมีตาหามีแววไม่ แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงคนที่ต้องทำงานให้คนอื่นเท่านั้น
ปรากฏการณ์มีให้พบเจอเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูงมักจะได้เจอคนประเภทนี้อยู่แล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ความผิดใหญ่โต
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่จึงโบกมือและพูด: “ไม่ต้องตบแล้ว ผมไม่ได้บอกจะทำอะไรพวกคุณเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวหน้าแผนกกับหัวหน้าบอดี้การ์ดก็หยุดและใช้มือกุ้มหน้าตนเอง
เมื่อครู่เพื่อจะประจบไป๋ยี่เฟย พวกเขาทั้งสองคนจึงใช้มุกตบหน้าตัวเองจนหน้าบวมในตอนนี้
ไป๋ยี่เฟยยังต้องการจะทำธุระจึงพูดอย่างเรียบเฉย: “เรียกเจ้านายพวกคุณมา”
เมื่อได้ยินแบบนี้หัวหน้าแผนกกับหัวหน้าบอดี้การ์ดก็ชะงัก จากนั้นคร่ำครวญในใจไม่หยุด
คนสองคนที่เดิมวางแผนจะลุกขึ้นคุกเข่าอีกครั้ง กระทั่งก้มหน้าไปหาไป๋ยี่เฟย
“ขอล่ะเถ้าแก่ปล่อยพวกเราไปเถอะ อย่าให้เจ้านายไล่พวกเราออกเลย”
“ขอล่ะอย่าให้เจ้านายไล่เราออกเลย…”
“เอ่อ…”
ไป๋ยี่เฟยพูดไม่ออกที่เขาบอกไปก่อนหน้านี้ว่าให้เรียกเจ้านายของพวกเขามาเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย คนพวกนี้ทำไมถึงคิดแบบนี้นะ?
“ผมมีเรื่องจะคุยกับเจ้านายพวกคุณ ไม่ใช่จะให้ไล่พวกคุณออก”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่อะไรกับพวกคุณ ก็ไม่อะไรสิ”
สถานะและตัวตนของไป๋ยี่เฟยในตอนนี้ห่างไกลจากหัวหน้าแผนกกับหัวหน้าบอดี้การ์ด เขาไม่สนใจจะมาถือสากับคนชั้นนี้หรอก
หัวหน้าแผนกกับหัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปและหันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ และถอยออกไปช้าๆ เพื่อไปเรียกเจ้านายของพวกเขา
ฟางหยันมองดูทุกอย่างที่ผ่านมาและตื่นเต้นมาก
ก่อนหน้านี้ฟางหยันเข้าใจไป๋ยี่เฟยและเทิดทูนไป๋ยี่เฟยมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้
ก็คือเรื่องที่เต้าจ่างพาสี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่กับสิบตระกูลทรงอิทธิพลไปรุมฆ่าไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยกล้าต่อกรกับเต้าจ่าง สุดท้ายก็ชนะ นี่คือสิ่งที่ทำให้ฟางหยันชื่นชมที่สุด
ดังนั้น ถือว่าเป็นเพื่อนใหม่อย่างไม่เต็มใจ เขาถึงกับบอกว่าเขาไม่ได้ใส่ใจทั้งสี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่และเต้าจ่าง เธอก็เดาได้ทันใด
คนตรงหน้าคงจะไม่ใช่ไป๋ยี่เฟยหรอกนะ?
คงไม่บังเอิญขนาดนี้?
ฟางหยันเบิกตาใสแจ๋วจ้องมองไปที่ไป๋ยี่เฟย ทันใดนั้นก็คิดได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเจอกันหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยถามชื่อเขาเลย
ผู้จัดการของฟางหยันแอบถอนใจ เขามองผิดไป
จากท่าทีที่ตระกูลเกามีต่อไป๋ยี่เฟย ก็รู้ว่าไป๋ยี่เฟยต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน
ผู้จัดการเดินเข้ามาและยิ้มอย่างมืออาชีพ เขายื่นมือเพื่ออยากจะจับมือทักทายกับไป๋ยี่เฟย “เถ้าแก่สวัสดีครับ ผมชื่อ…”
“ไสหัวไป!” ไป๋ยี่เฟยมองเขาอย่างเย็นชาและพูดเพียงคำเดียว
ผู้จัดการอึ้งไปและอับอายมาก
ไป๋ยี่เฟยเกลียดผู้จัดการคนนี้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นแต่หากจะบอกว่าทำไม ตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะฟางหยัน
ไม่ใช่ว่าเพราะคิดอะไรกับฟางหยัน แต่เป็นคืนนั้นเป็นฟางหยันที่ช่วยให้เขาร้องไห้ออกมา ตอนนี้ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อน
ในเมื่อเป็นเพื่อนจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นชี้นิ้วใส่ฟางหยันแบบนั้นได้
ไป๋ยี่เฟยให้คุณค่ากับความรักและความชอบธรรมเสมอมา และไม่ผิดที่จะถูกทำผิด แต่ถ้าเพื่อนของเขาถูกทำร้าย เขาจะอารมณ์เสียมาก
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ไม่แลผู้จัดการอีกเลย เขาหันไปมองโจวหลินแล้วถามเขา: “ทำไมคุณยังไม่ไป?”
โจวหลินตัวสั่นและเหลือบมองฟางหยันและผู้จัดการของเธออย่างคลุมเครือ
ฟางหยันเข้าใจทันที พวกเขากำลังจะพูดอะไร พวกเขาอาจจะไม่ได้ยิน ยิ่งกว่านั้นอีกไม่นานเรื่องที่ไป๋ยี่เฟยจะคุยกับเจ้าของคลับนี้ พวกเขาไม่ควรจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ฟางหยันยิ้มเล็กน้อยแล้วพูด: “พวกเรามีธุระต่อ ต้องขอตัวก่อน หากมีเวลาว่างไปกินข้าวกันนะคะ”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
ฟางหยันหันหลังและเดินออกไป ผู้จัดการเห็นดังนั้นแน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอยู่ต่อแล้ว จึงรีบตามฟางหยันไป
หลังจากพวกเขาไปแล้ว โจวหลินก็กระซิบ “ผะ…ผมรู้จักคุณ”
“เอ๊ะ?” ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองเขา
โจวหลินเห็นดังนั้นจึงตัดใจและกัดฟันพูดไป: “คุณไป๋ครับ พูดตามจริง คืนนั้นผมก็ไปที่นั่น”
ไป๋ยี่เฟยไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะเขาเดาได้เมื่อโจวหลินจำเขาได้
“คุณไม่กลัวว่าผมจะแก้แค้เหรอ?” ไป๋ยี่เฟยถาม
เมื่อได้ยินแบบนี้ โจวหลินกลัวมาและตัวสั่นไปหมด แต่ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้วเขาทุ่มสุดตัวและพูดต่อ: “วันนั้นครอบครัวให้ผมไป ผมทำเพื่อครอบครัว แต่วันนี้ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ไป๋ยี่เฟยถามด้วยความสงสัย: “ตัดสินใจอะไร?”
ไป๋ยี่เฟยอดคิดไม่ได้: ตัดสินใจจะยืนอยู่ฝั่งเขา?
วินาทีต่อมาโจวหลินคุกเข่าลงและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: “คุณไป๋ ผมโจวหลินขอติดตามคุณครับ”
เขาทายถูกจริงๆ แต่ไป๋ยี่เฟยได้ยินสิ่งนี้แล้วไม่เพียงแต่ไม่ดีใจ แต่กลับขมวดคิ้ว
เขาเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงยังไม่มีอิทธิพลอะไร โจวหลินอาศัยอะไรที่จะมาติดตามเขา แล้วจะยอมทิ้งครอบครัว