เย่ฮวนรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งนั้น“แปลว่าตระกูลหงทำการค้ากับคนอื่น พวกเขาทำลับหลังเต้าจ่างใช่ไหม?”
“อยู่ต่อหน้าก็ฟังคำสั่งของเต้าจ่าง ลับหลังก็มีแผ่นการของตัวเอง?”หลินขวางขมวดคิ้วและพูด
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม:“สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาอาจจะอยู่ในระดับเดียวกัน หรือไม่ก็คงจะมีเถ้าแก่คนเดียวกัน”
“คนที่ส่งทองคำมูลค่าหนึ่งพันล้าน น่าจะเป็นคนที่ช่วยพวกเขาติดต่อกัน”
“แต่ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเป็นเขา!”
“เมิ่งฉิง!”
สีหน้าของเย่ฮวนกับหลินขวางตกตะลึงทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบว่ามีปัญหา แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ บวกกับไป๋ยี่เฟยคิดอะไรบางอย่างออกด้วยตัวเอง และเขาก็คาดเดาอะไรบางอย่างได้ พวกเขาไม่รู้อะไรเลย
ไป๋ยี่เฟยหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง และค่อยๆปล่อยลมหายใจออกและพูด:“ฉันจะพูดตามตรงแล้วกัน”
“ฉันสงสัยว่าเต้าจ่างและผู้มีอำนาจในแต่ละเขตต่างๆบนหลันเต่า พวกเขาทำตามคำสั่งของคนๆหนึ่งอยู่ ส่วนบุคคลนี้เป็นใคร ตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออกและเขาต้องการอะไรฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
“เมิ่งฉิงที่ฉันพูดถึง ฉันสงสัยว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของคนพวกนี้ เหตุผลที่ฉันไม่สงสัยว่าเขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เป็นเพราะเขาส่งเงินก้อนนั้นมาที่หลันเต่า แทนที่จะเก็บไว้เอง”
“และคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ฉันคิดว่าก็คงจะไม่ใช่เหลียงเหว่ยชาว”
พูดถึงเหลียงเหว่ยชาว ไป๋ยี่เฟยก็นึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกัน และมันทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกหวาดกลัวมากๆ
แต่ในขณะนั้น เขาเห็นจุดประสงค์ของเหลียงเหว่ยชาวได้อย่างชัดเจน เธอต้องการได้คลังเก็บทองที่สาม
ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานั้นไป๋ยี่เฟยรู้สึกว่าจุดประสงค์ที่เธอต้องการและเธอก็กระตือรือร้นมากจนเกินไป ดังนั้นเธอจึงดูไม่เหมือนกับคนที่อยู่เบื้องหลังที่สามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นั้นเป็นเหตุผลที่ไป๋ยี่เฟยสงสัยว่าเหลียงเหว่ยชาวเป็นเพียงลูกน้องคนหนึ่งของเขา
“แย่แล้ว!”
จู่ๆไป๋ยี่เฟยก็ตกใจ ม่านตาของเขาหดตัวเล็กน้อย
เย่ฮวนกับหลินขวางมองไป๋ยี่เฟยที่ตกใจและสับสน เป็นเพราะไป๋ยี่เฟยยังพูดไม่จบ แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาก็ทำให้พวกเขาตกใจมากๆแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”ทั้งสองคนถามพร้อมกัน
ไป๋ยี่เฟยทั้งกังวลทั้งเสียใจและพูด“ฉันไม่ควรโทรศัพท์หาฉีฉีเลย”
จากนั้นไป๋ยี่เฟยรีบหยิบมือถือขึ้นมา โทรศัพท์หาหลี่เฉียงตง
“คุณพ่อ ตอนนี้มีเรื่องด่วน ฉันจะไม่บอกรายละเอียดทั้งหมด ตอนนี้คุณพ่อรีบพาแม่ไปรับฉีฉี จากนั้นรีบไปที่เมืองหลวง รีบไปหาเสว่เอ๋อทันที”
หลังจากหลี่เฉียงตงฟังจบก็ไม่ถามอะไร รีบตอบทันที:“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสาย สีหน้าของไป๋ยี่เฟยดูเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน:“ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วใช่ไหม?”
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?คุณพูดชัดเจนหน่อยได้ไหม!”เย่ฮวนมองเขาอย่างจำใจ
ไป๋ยี่เฟยมองมาที่พวกเขาสองคน จากนั้นหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งและพูดอย่างเคร่งขรึม:“พวกเจ้าฟังให้ดี หลังจากนี้พวกเราจะเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่พวกเจ้าอาจจะคาดคิดไม่ถึง”
“ถ้าตอนนี้พวกเจ้าถอนตัวยังทันอยู่ ฉันจะไม่พูดอะไร ฉันสามารถเข้าใจได้”
เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของไป๋ยี่เฟย เย่ฮวนรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ฝืนยิ้มและพูด:“คุณคิดว่าพวกเราเป็นคนยังไงเหรอ?”
หลินขวางตบไปที่เท้าแขนของโซฟาและพูด:“เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพ่อของฉันใช่ไหม เพื่อเป็นการไถ่บาปให้พ่อของฉัน ตระกูลหลินไม่ยอมถอยอยู่แล้ว”
……
เหมืองทองคำในเขตที่สี่ถูกพวกเขาแบ่งเป็นส่องส่วนอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเหมืองทองคำที่สี่เป็นเหมืองที่ใหญ่ที่สุด มันใหญ่พอๆกับเหมืองทองคำที่เหลือห้าแห่งรวมกัน ดังนั้นเหมืองทองคำที่สี่เป็นของตระกูลหลิน และเหมืองทองคำที่เหลือห้าแห่งเป็นของตระกูลเย่
หลังจากแบ่งเสร็จ พวกเขาสองคนได้โทรศัพท์กลับไปที่ตระกูลเพื่อให้พวกเขาส่งคนมาดูแล
ในเวลาเดียวกัน ไป๋ยี่เฟยได้ออกกฎข้อห้ามต่างๆขึ้นมา
เหมืองทองคำเป็นของพวกเขาสองตระกูลได้ แต่ห้ามก้าวก่ายอำนาจและสิทธิ์การดูแลในเขตที่สี่ และต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ดูแลในเขตที่สี่
ทั้งสองคนล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจ และไม่มีการคัดค้านในเรื่องนี้
หลังจากนั้นไป๋ยี่เฟยและพรรคพวกก็ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหงอย่างราบรื่น
หลังจากตระกูลหงล่มสลาย คนใช้ที่เหลือก็ไม่กล้าคิดที่จะต่อต้าน คนส่วนใหญ่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของไป๋ยี่เฟย
หลังจากนั้นไป๋ยี่เฟยก็โทรศัพท์ให้ฉางเชี่ยว
ครั้งนั้นที่มาก่อเรื่องที่ตระกูลหง ฉางเชี่ยวพาลูกน้องตัวเองมาช่วยเหรอ แต่ครั้งนั้นล้มเหลวเขาก็เลยหนีไป หลังจากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ไม่เจอหน้าเขาอีก
ครั้งนั้นทำให้ฉางเชี่ยวสูญเสียลูกน้องไปคนหนึ่ง ไป๋ยี่เฟยรู้สึกผิดมากๆ
ฉางเชี่ยวมาที่ตระกูลหง เขามีสีหน้าปกติเมื่อเห็นไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงฉางเชี่ยว
“ฉันขอโทษ”ไป๋ยี่เฟยพูด
ฉางเชี่ยวเข้าใจในสิ่งที่ไป๋ยี่เฟยพูด เขาโบกมือและพูด:“เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่โทษคุณ ฉันรู้ว่าตอนนั้นคุณเสียสติสัมปชัญญะไป”
ไป๋ยี่เฟยลังเลอยู่ชั่วครู่และถามว่า:“แล้วงานศพของเขา……”
ในที่สุดฉางเชี่ยวก็แสดงสีหน้าออกมาและฝืนยิ้มออกมา พูดว่า:“ฝังศพเขาไว้ที่บนเนินเล็กๆในป่า อีกสองวันฉันจะกลับไป ถึงตอนนั้นจะเอาเถ้ากระดูกของเขากลับไปด้วย”
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดเหล่านี้ ส่ายหัวและพูด:“ศพได้ฝังไปแล้ว ถ้าขุดออกมามันจะไม่ดี”
สีหน้าของฉางเชี่ยวเปลี่ยนไป มองหน้าไป๋ยี่เฟยแล้วถาม:“คุณหมายความว่าไง?”
“ตอนนี้เขตที่สี่ขาดผู้ดูแลอยู่ ฉันต้องการให้คุณเป็นผู้ดูแลที่นี่ และสถานที่ฝังศพของลูกน้องคุณ ก็เปลี่ยนมันเป็นสุสานไปเลย คุณคิดว่าไง?”ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ
ฉางเชี่ยวอึ้งไปเลย
ไป๋ยี่เฟยยังพูดอีกว่า:“ที่ฉันต้องการล้มล้างความมืดมิดของหลันเต่าทั้งหมดและปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในสังคมที่เป็นปกติ”
“ตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น พวกเราเริ่มจากเขตที่สี่ก่อน ใช้ชื่อของฉันในการลงทุนก่อสร้าง เพื่อให้พวกเขามีกฎระเบียบและสกุลเงินตามปกติ เช่นเดียวกับประเทศของเรา
ฉางเชี่ยวมองไป๋ยี่เฟยด้วยความอึ้ง มือของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“มัน……ใหญ่มากเกินไป ฉัน……ฉันคิดว่า ฉันน่าจะ……ทำไม่ได้”
ไป๋ยี่เฟยเชื่อมั่นในตัวเขา ตบไหล่ของเขาเบาๆ พูดด้วยรอยยิ้ม:“คุณทำได้แน่นอน”
……
ณ คฤหาสน์ในหลันโปกั่งที่เมืองเทียนเป่ย
ฉีฉีสวมชุดเดรสสีกากีและเดินเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับกระเป๋าสีขาวที่อยู่บนไหล่
ตามสไตล์การแต่งตัวเมื่อก่อนของฉีฉี เธอจะแต่งตัวสบายๆ แต่ตอนนี้เธอกลับแต่งตัวคล้ายกับเด็กผู้หญิง มีความไร้เดียงสาอยู่
หลังจากเข้าประตูเธอก็เห็นเมิ่งฉิงรออยู่ที่นั่น เขาหยิบกระเป๋าใบเล็กๆในมือของฉีฉีอย่างปกติ จากนั้นแขวนไว้บนตะขอ
เมิ่งฉิงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฉีฉีและพูด:“ฉันทำหมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริกที่เธอชอบทาน เธอขึ้นไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยลงมาทาน”
ฉีฉีพยักหน้า มีรอยยิ้มที่มุมปาก:“ฉันจะรีบขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมาทาน”
ฉีฉีในตอนนี้กับเมื่อสองเดือนที่แล้ว มีบางอย่างที่แตกต่างไป
ในช่วงสองเดือนนี้ที่อยู่ด้วยกัน ฉีฉีรู้สึกได้ว่าเมิ่งฉิงดูแลเอาใจใส่และเป็นห่วงเธอมาก
ในตอนแรกฉีฉีรู้สึกอึดอัดใจ คิดในใจว่าเขาก็แค่แก่กว่าตัวเองไม่กี่ปี ทำไมถึงต้องมาดูแลตัวเองด้วย?นอกจากนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเธอเป็นคนปกป้องเขาต่างหาก
เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป เธอก็เริ่มคุ้นชินกับการดูแลเอาใจใส่ของเมิ่งฉิง
ฉีฉีไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนอื่นมาก่อน ดังนั้นหลังจากเวลาผ่านไปนาน เธอก็รู้สึกอบอุ่นในใจ และเธอก็ไม่ปฏิเสธเขาอีก
แน่นอนมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเมิ่งฉิงเป็นผู้ชายที่หล่อมาก
หลังจากฉีฉีพยักหน้า รีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำ
และเมิ่งฉิงก็ยืนอยู่ข้างล่าง เมื่อมองดูแผ่นหลังของเธอ รอยยิ้มที่มีเลศนัยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของเขา
ในขณะนี้ เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น
เมิ่งฉิงนิ่งไปชั่วครู่แล้วหันหลังไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตู เขาก็เห็นหลี่เฉียงตง
เมิ่งฉิงรู้สึกประหลาดใจและถาม:“ไม่ทราบว่าคุณมาหาใครครับ?”
“ฉีฉี”หลี่เฉียงตงพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ
เมิ่งฉิงนิ่งไปชั่วครู่และพูดด้วยรอยยิ้ม:“คุณคือยอดฝีมือของเมืองเทียนเป่ยใช่ไหม?”
จากนั้นเขาก็เดินออกจากคฤหาสน์ แล้วปิดประตู