แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
หลังจากกลับมาถึงห้องพักผูชิ่งก็ปล่อยให้ไป๋ยี่เฟยกินข้าว ส่วนภรรยาของเขาก็วางเด็กที่กำลังหลับและนั่งลง
ไป๋ยี่เฟยเหลือบมองและอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “อะชิ่ง นายแต่งงานกับพี่สะใภ้เมื่อไหร่เหรอ?”
แต่ทว่าเมื่อถามไปแบบนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไปกดสวิตช์บางอย่าง ทำให้ผูชิ่งและหญิงสาวก้มหน้าหลบสายตา
ไป๋ยี่เฟยแปลกใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่เป็นผูชิ่งยิ้มให้แทนและเริ่มพูดว่า “อันที่จริงเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
“อะไรนะ?” ไป๋ยี่เฟยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจและหันศีรษะไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อมองเด็กที่อยู่บนเตียง.
ผูชิ่งก็มองตามเช่นกันจากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “ถิงถิงเดิมทีเป็นคุณหนูของบริษัทชั้นนำในเป่ยไห่ แต่หลังจากที่เราคบกัน เพราะครอบครัวของฉันไม่ได้ร่ำรวยก็เลย… ”
“ดังนั้นครอบครัวของเธอไม่เห็นด้วย พวกนายหนีตามกันมาที่นี่เหรอ?” ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยความประหลาดใจ
ผูชิ่งพยักหน้าเมื่อเห็นดังนี้ด้วยท่าทางตำหนิตัวเอง
ผู้หญิงที่ชื่อถิงถิงหันไปจับมือของผูชิ่งและยิ้มให้เขาอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นพวกเขาเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วยเล็กน้อย และพูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกนายไม่ต้องกังวล พวกนายดูเหมือนจะหนีมานานแล้ว ครอบครัวของพี่สะใภ้ก็น่าจะเห็นด้วยกับเรื่องของพวกนายแล้วล่ะ”
แต่ผูชิ่งเพียงส่ายหัว คิดว่าไป๋ยี่เฟยกำลังปลอบเขา เข้าจึงยิ้มและกล่าวว่า “ขอบใจนะเพื่อน”
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่เขาและรู้ว่าเขาไม่ได้จริงจัง เขาจึงพูดอย่างจริงจัง “ฉันพูดจริงๆนะ อีกไม่นานครอบครัวของเธอจะเห็นด้วยกับนายแน่”
“เฮ้อ เอาล่ะๆๆ ฉันรู้แล้ว มาๆๆ รีบกินข้าวกันเถอะ” ผูชิ่งยังคงไม่จริงจัง
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง “ฉันจริงจังนะ ที่จริงแล้วตอนนี้ฉันค่อนข้างดีเลยล่ะ กลุ่มบริษัทใหญ่หลายกลุ่มภายใต้ชื่อของฉันในเมืองเทียนเป่ย คุณ… ”
ผลก็คือไป๋ยี่เฟยยังไม่ได้พูดจบ ผูชิ่งก็หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ… ”
“นายไม่ได้ดื่มนี่ ทำไมถึงเมาได้ล่ะ?” ผูชิ่งพูดขณะที่เขาตบไหล่ของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟย “….. ”
ผูชิ่งไม่เชื่อเขา แม้ว่าเขาจะจริงจังขนาดนั้นก็ตาม
แต่ต้องบอกว่าตอนที่พวกเขายังอยู่ในโรงเรียน พวกเขารู้โดยพื้นฐานแล้วว่าไป๋ยี่เฟยเป็นเด็กบ้านนอกจากชนบท เขาเพิ่งจบการศึกษาเพียงไม่กี่ปี เขาจะมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร มีหลายกลุ่มธุรกิจในนามของเขา?
เป็นเรื่องปกติที่ผูชิ่งจะไม่เชื่อ แม้แต่ไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันรู้สึกเมานิดหน่อย… ”
สาเหตุที่ไป๋ยี่เฟยพูดเป็นเพราะผูชิ่งเป็นคนดีเป็นหลัก นอกจากนี้ยังเคยช่วยเหลือเขามาก่อนหน้านี้ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการ แต่เขาก็สามารถมองเห็นความรู้สึกนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะช่วยเขา
อีกประการหนึ่งก็คือเขากำลังจะกลับไปที่แผ่นดินใหญ่แล้ว พวกความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านั้น ปัญหาต่างๆที่ทำให้คนปวดหัว ต้องได้รับการแก้ไขโดยเขา เขาหงุดหงิดมาก
ดังนั้นเขาจึงต้องการหาสิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
ผูชิงหยิบกล่องอาหารกลางวันขึ้นมา กินเข้าไปสองคำโตจากนั้นก็ยิ้มพลางพูด “นี่เพื่อนความฝันนายไม่เลวเลยนะ แต่ว่าช่วงบ่ายเรายังคงต้องแยกปลาก่อน”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินดังนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า
หลังจากเวลาพักผ่านไป ไป๋ยี่เฟยก็สวมเสื้อผ้าพลาสติกแบบเดียวกับพวกเขา สวมถุงมือพลาสติกและรองเท้าบูทกันฝนยาวพูดคุยกับพวกเขาขณะแยกปลา
ตั้งแต่จัดบริหารธุรกิจมา ไป๋ยี่เฟยแทบจะไม่ได้ทำงานแบบนี้เลย เขาทุ่มเทให้กับงานนี้เกือบทั้งหมด แม้ว่าจะเรียบง่ายแต่เขาก็มีความสุขมาก
อีกทั้งตอนนี้เขากลายเป็นยอดฝีมือระดับที่สองแล้ว และความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถไปถึงระดับที่หนึ่งได้ สำหรับงานอย่างนี้ เขาสามารถทำให้เสร็จได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นก่อนที่จะมืดลงเขาและผูชิ่งก็แยกปลาออกจนเสร็จ
ในตอนเย็นหลังอาหารค่ำ ไป๋ยี่เฟยและผูชิ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าพิงราวกั้นสูบบุหรี่กันคนละมวน
พวกเขาพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในตอนที่พวกเขาอยู่ในวิทยาลัย และเกี่ยวกับสิ่งต่างๆหลังจากจบการศึกษา ในขณะที่พวกเขาคุยกันไป๋ยี่เฟยก็ถามว่า “นายจะใช้ชีวิตบนเรือแบบกับภรรยาไปตลอดชีวิตเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของผูชิ่งก็หายไป เขามองไปที่ทะเลที่มองไม่เห็น สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วก็พ่นควันออกมาและยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันไร้ประโยชน์มากเลยใช่มั้ย?”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไปชั่วขณะและกล่าวว่า “จากมุมมองของฉัน นายเป็นลูกผู้ชาย แต่จากมุมมองของภรรยาและลูกๆของนาย นายก็ไร้ประโยชน์จริงๆ”
ผูชิ่งถอนหายใจลึกๆ “พ่อของเธอบอกว่าถ้าเห็นฉันอีกครั้งจะให้คนอื่นหักขาฉันซะ ที่จริงฉันไม่ได้กลัวเขาหักขาฉัน ฉันกลัวว่าแม้ว่าเขาจะหักขาฉัน แต่เขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะให้ฉันแต่งงานกับถิงถิง หรือจะให้ถิงถิงแต่งงานกับชายชรา”
ไป๋ยี่เฟยไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากได้ยินแบบนี้
เขาเดาได้แค่ว่าพ่อของถิงถิงกำลังจะให้เธอแต่งงานกับชายชราและชายชราคนนั้นน่าจะดีกว่าพวกเขา
แต่ไม่ใช่ว่าเฟยเสวกรุ๊ปเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในเป่ยไห่หรือ?
ไป๋ยี่เฟยคิดสักพักแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน
ผูชิ่งเฝ้าอยู่ข้างๆและอดไม่ได้ที่จะตะลึง “โทรหาใครน่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันพูดโทรศัพท์ก็เชื่อมต่อ
“สวัสดี ใครน่ะ?”
“ฉันเอง ไป๋ยี่เฟย” ไป๋ยี่เฟยตอบอย่างนิ่งเฉย
“ให้ตายเถอะ!” หวังโหลวประหลาดใจ “นายยังรู้จักโทรหาฉันอีกเหรอ ฉันนึกว่าลืมฉันไปแล้ว!”
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะและพูดว่า “จะลืมใครก็คงไม่มีทางลืมนายได้หรอก?”
หลังจากพูดจบเขาก็พูดอย่างจริงจัง “ช่วยฉันจัดการบางอย่างให้หน่อย ส่งคนไปที่ท่าเรือที่เมืองหัวซ่าง แล้วไปรับเรือบรรทุกสินค้าที่มีคนชื่อผูชิ่งและถิงถิง เดี๋ยวฉันจะส่งเวลาเทียบท่าของเรือบรรทุกสินค้าให้ และหมายเลขเรือบรรทุกสินค้าด้วย”
“จริงสิ เตรียมสินสอดให้ด้วย” ไป๋ยี่เฟยคิดสักพักแล้วพูดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหวังโหลวรู้สึกสับสนเล็กน้อย “นี่มันอะไรกัน?”
ไป๋ยี่เฟยทำคุมลึกลักและพูดว่า “ถึงเวลาแล้วก็จะรู้เองนั่นแหล่ะ”
หลังจากพูดเสร็จไป๋ยี่เฟยก็วางสายโทรศัพท์
ผูชิ่งที่อยู่ด้านข้างถามอีกครั้ง “นายโทรหาใคร?”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มและพูดว่า “เดี๋ยวนายเจอเขา นายก็จะรู้เอง”
คำตอบก็เหมือนกับที่ให้หวังโหลว เพราะตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้น หวังโหลวเป็นนักเรียนดีเด่นในชั้นเรียนของพวกเขา ในเวลานั้นและคาดว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้จักเขา
ผูชิงมองไปที่ไป่อี้เฟยและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่รอยยิ้มนั้นมีความหมายที่อธิบายไม่ได้เล็กน้อย “ไป๋ยี่เฟยนายเป็นอะไรหรือเปล่า? ตอนเรียนนายก็ดูซื่อสัตย์ดี ทำไมเรียบจบผ่านไปไม่กี่ปีกลับกลายเป็นคนอวดเก่งซะแล้วล่ะ?”
จนถึงตอนนี้ผูชิงคิดว่าไป๋ยี่เฟยล้อเล่นและไม่เชื่อเขาจริงๆ
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่หันไปมองผูชิ่งและพูดอย่างจริงจัง “เพื่อน ขอบใจนายมาก”
“อะไร?” ผู่ชิ่งมองไปที่ไป๋ยี่เฟยอย่างอธิบายไม่ถูก “นายหมายความว่าอย่างไร?”
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่ทะเลและพูดนิ่งๆว่า “จริงๆ ขอบใจนายที่ทำให้ฉันได้มีเวลาสงบสุขในช่วงสั้นๆ และขอบคุณสำหรับเงินสองหมื่นหยวนเมื่อวานนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผูชิ่งก็รู้สึกอายเล็กน้อย เขาหันหน้าไปอีกทางและไม่ได้มองเขาอีก “คุณเห็นหมดแล้ว?”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มและพยักหน้า “อืม”
ทั้งสองคุยกันสักพัก การดื่มเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเวลานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยและดื่มเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่วันนี้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เมา แต่ผูชิ่งเมา
ไป๋ยี่เฟยช่วยพาผูชิ่งกลับห้อง เมื่อภรรยาของเขาเห็นดังนั้น เธอจึงวางเด็กลงทันทีและพยุงเขาด้วยกัน
ทั้งสองวางผูชิ่งลงบนเตียงและถิงถิงก็เอาผ้านวมห่มให้ผูชิ่งอย่างนุ่มนวลแล้วถอดรองเท้า
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่เธอแล้วยิ้มและพูดว่า “หลายปีมานี้ต้องลำบากพี่สะใภ้แล้ว”
ถิงถิงชะงักอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเธอได้ยินคำนี้ พร้อมกับหันหลังให้ไป๋ยี่เฟย
แต่หลังจากนั้นถิงถิงยังคงห่มผ้าห่มของผูชิ่งและกระซิบว่า “นี่คือเส้นทางที่ฉันเลือก ไม่ว่าจะยากแค่ไหนฉันก็เต็มใจ”
ประโยคธรรมดานี้ทำให้หัวใจของไป๋ยี่เฟยตกตะลึง
ทางที่เลือกเอง ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ต้องเดินต่อไป
……
เมื่อฟ้าสว่างข้นอีกครั้งในวันนั้นก็สามารถเห็นท่าเรือต่างๆที่เมืองหัวซ่าง
เมื่อผูชิ่งตื่นขึ้น ถิงถิงก็รินน้ำร้อนและส่งให้เขาทันที
ผูชิงจิบน้ำร้อนก่อนจะถามว่า “เพื่อนร่วมชั้นของฉันอยู่ที่ไหน?”
“ตื่นเช้ามาก็หายไปแล้ว” ถิงถิงตอบ
เมื่อผูชิ่งได้ยินดังนั้นเขาก็วางถ้วยลงทันทีและไปตามหาไป๋ยี่เฟย แต่หลังจากค้นหาจนทั่วก็ยังไม่เห็นร่างของไป๋ยี่เฟยด้วยซ้ำ
เรือของพวกเขาก็ค่อยๆเข้าใกล้ท่าเรือและมีคนจำนวนมากมารวมตัวกันบนดาดฟ้าเรือและมีเสียงร้องอุท่าน
“ดูสิ! นั่นมันอะไร?”