แต่ว่าไม่มีคนกล้าดูถูกเจ้าของรถคันนี้ เพราะว่าเขาคือไป๋หยุนเผิงเจ้าบ้านของตระกูลไป๋
ไป๋ยี่เฟยเห็นฉากนี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วหัวเราะอีก “จัดอย่างหรูหราขนาดนี้ กังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้หรือ!”
แม้ว่าพูดอย่างนี้ แต่ว่าเขายังคงเข้าใจพวกรุ่นอาวุโสเหล่านี้ของตระกูลไป๋ได้ ถึงยังไงเขาถึงรุ่นนี้ มีความรู้สึกที่ไร้ผู้สืบทอดแบบหนึ่ง อีกทั้งทำให้คนมีความรู้สึกว่าตระกูลไป๋จากนี้ไปจะหายนะหมดสิ้น
และมีความสามารถที่สุดของตระกูลไป๋สองคน คนหนึ่งคือไป๋เซี่ยว คนหนึ่งคือไป๋ยี่เฟย
แต่ไป๋เซี่ยวเนื่องเพราะอุบัติเหตุทางรถ สูญเสียสมรรถภาพทางเพศ
ไป๋ยี่เฟยก็กลายเป็นความหวังสุดท้ายโดยปริยายเลย
ในตอนต้นหลี่เสว่ถูกวางยา ทำจนไม่มีสมรรถภาพทางเพศ ไป๋ยี่เฟยก็ไม่หย่าร้างอย่างเด็ดขาด คนในสังคมภายนอกล้วนไม่รู้ แต่คนในตระกูลใหญ่ทั้งสี่กลับรู้หมด ตระกูลใหญ่อีกสามล้วนคิดว่าหลังจากนี้ไปตระกูลไป๋จะไม่มีทายาทที่จะนำพาตระกูลไป๋พัฒนาขยายต่ออีกได้แล้ว
ตระกูลไป๋อาจจะหายนะหมดสิ้นด้วยเหตุนี้
แต่ว่าพวกเขาอยากรอเยาะเย้ย เยาะเย้ยไม่สำเร็จแล้ว เพราะว่าหลี่เสว่ตั้งครรภ์อีกแล้ว ยังเป็นฝาแฝดอีก
ตอนนี้หลี่เสว่กำลังอยู่ในห้องคลอด ดังนั้นไป๋หยุนเผิงจัดอย่างหรูหราใหญ่ขนาดนี้ คือทำให้คนของตระกูลใหญ่อีกสามดู บอกกล่าวพวกเขา ตระกูลไป๋จะไม่หายนะหมดสิ้น
หนิวต้ายที่ได้เห็นฉากนี้ด้วยกลับว้าวุ่นแล้ว นี่จัดอย่างหรูหราใหญ่เกินไป ทำให้เขาตกใจจนขาอ่อน
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองเขาหนึ่งที เข้าใจเลยทันที พูดเบาๆว่า “วางใจเถอะ มีเพียงแค่ผมรู้ว่าคุณจับเสว่เอ๋อไป”
หนิวต้ายได้ยินคำพูดนี้หันหน้าไปมองไป๋ยี่เฟย นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความตื่นตะลึงและยากที่จะเชื่อ
ไม่เพียงแค่เนื่องเพราะคำพูดของเขาเท่านั้น ยังเพราะว่าการจัดอย่างหรูหราที่อยู่ต่อหน้านี้ด้วย
ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่าไป๋ยี่เฟยเพียงแค่ลูกพี่ที่มีอิทธิพลเล็กน้อยเท่านั้น ก็เหมือนดั่งไอ้หัวล้านหลิวแบบนั้น
แต่การจัดอย่างหรูหราเมื่อกี้ที่เห็น ทำให้เขาไม่อาจจะไม่สั่นสะเทือน
การจัดอย่างหรูหราแบบนี้ พลังความสามารถอย่างนี้ เขาอาจจะใช้สุดกำลังวังชาทั้งชีวิตล้วนบรรลุไม่ถึง
อย่างนั้น เขายังมีสิทธิอะไรต่อสู้กับไป๋ยี่เฟยล่ะ?
ในใจหนิวต้ายเศร้าสลด ทันใดนั้นสับสนวุ่นวายหมดหวัง “ผม…….”
“ตนเองหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลอย่างหนึ่งอยู่ต่อ ใช้มือถือติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้ ให้เวลาผมหนึ่งเดือน” ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆ “อยู่ในโรงพยาบาลคุณซื่อสัตย์หน่อยดีกว่า ในโรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิด ยังมีอุปกรณ์ที่สกัดจับได้ถึงแหล่งสัญญาณไม่ว่าคุณเจอกับใครที่ใช้เล่ห์กลติดต่อกับโลกภายนอกอะไร ผมล้วนรู้ได้”
หลังจากไป๋ยี่เฟยพูดจบหันหน้าไปมองหนิวต้าย สีหน้าจริงจังมากพูดว่า “อยากจะมีชีวิตอยู่ละก็ ทำตามสิ่งที่ผมพูดดีที่สุด”
หนิวต้ายอึ้งชะงักจ้องมองเขา “ไม่มีแล้วหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของเหลียงหมิงเยว่ ก็ไม่ได้เรียกร้องให้เขาไปทำอะไรบ้าง นี่เป็นการคุ้มครองที่ตบตาแบบหนึ่ง อีกทั้งสุดท้ายยังจะนำสิ่งดีๆให้กับเขาด้วย
เพราะว่าเขาพักอยู่ในโรงพยาบาล ตัดการติดต่อกับโลกภายนอก ฝั่งไหนล้วนไม่ได้เข้าแทรกเข้าร่วม รอถึงการต่อสู้ของไป๋ยี่เฟยกับเหลียงหมิงเยว่มีผลลัพธ์ออกมา ฝั่งไหนก็จะถือว่าเขาเป็นคนกันเอง
ไป๋ยี่เฟยมองถนนข้างนอกผ่านหน้าต่างอีก พูดเบาๆว่า “คุณอยากจะเดินเส้นทางไหนเป็นเรื่องของคุณ ผมจะไม่ขัดขวางคุณ แต่ว่าเห็นแก่พี่หนิว สิ่งไหนที่ช่วยได้ผมก็จะช่วยคุณสุดพลัง สำหรับคุณสุดท้ายจะสามารถเดินถึงไหน ก็อยู่ที่ตัวคุณเองแล้ว”
คำพูดล้วนพูดถึงขั้นนี้แล้ว หนิวต้ายก็ไม่โง่เช่นกัน ย่อมรู้ความหมายในนั้นอยู่แล้ว
สุดท้าย หนิวต้ายกำปั้นอย่างโหดร้าย ก็หมุนตัวไปยังจุดที่ดำเนินการขั้นตอนการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
แต่ว่าตอนที่เขาเดินเข้าไปในลิฟต์ เวลานั้นที่ประตูลิฟต์ปิด เขาชกไปยังแผ่นกั้นของลิฟต์หนึ่งทีอย่างโหดร้าย “แม่มึงเอ่ย! ทำไมไม่เอาไหนขนาดนี้ล่ะ? คุณไม่รู้จักต่อต้านเลยเชียวหรือ?”
“ทำไมทุกครั้งมองเห็นเขา คนแม้แต่ความกล้าที่จะต่อต้านสักนิดก็ไม่มีล่ะ?”
“ทำไมต้องเชื่อฟังขนาดนั้นหรือ?”
“แม่มึงเอ่ย!”
ความโหดเหี้ยมเต็มใบหน้าเขา สายตาโหดร้าย ไม่ว่าใครเห็นแล้วล้วนจะรู้สึกผิดปกติ
แต่ว่าตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง เขากลับคืนสีหน้าปกติทันที ไม่เพียงแค่เพราะว่าไม่อยากให้คนมองเห็นเท่านั้น ยังเพราะว่านี่เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่เขายุ่งไม่ไหวเลยสักนิด
ไป๋หยุนเผิงพาคนสิบกว่าคนขึ้นตึก ในนั้นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เส้นผมขาว
พวกหมอพยาบาลในโรงพยาบาลหลังจากมองเห็นคนเหล่านี้โดยจิตใต้สำนึกล้วนยอมหลีกทาง
พวกเขามาถึงข้างหน้าไป๋ยี่เฟย อู๋กุ้ยเซียงตื่นเต้นมากจับแขนของไป๋ยี่เฟยไว้ สีหน้าตื่นเต้นถามว่า “ตอนนี้เสว่เอ๋อเป็นยังไงแล้วล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยมองคนมากมายขนาดนี้เข้ามา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
แต่เนื่องเพราะอู๋กุ้ยเซียงซักถามอย่างร้อนใจ ทำให้คิ้วเขายืดออกใหม่อีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน สีหน้าที่ร้อนใจแบบนี้ของอู๋กุ้ยเซียงทำให้เขารู้สึกถึงความห่วงใยและความอบอุ่นที่จากกันมานานแล้วเล็กน้อย
“อยู่ในห้องผ่าตัด ไม่ต้องเป็นห่วง” ไป๋ยี่เฟยยิ้มตอบกลับ
ไป๋หยุนเผิงพอได้ยินคำนี้ ทันทีทันใดเสียงเข้มถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? เสว่เอ๋อเกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมเข้าห้องผ่าตัดแล้วล่ะ?”
อู๋กุ้ยเซียงเห็นสภาพ เหลือบมองไป๋หยุนเผิงหนึ่งที “ไม่รู้อาการก็อย่าถามส่งเดช!”
“เอะ…….” ทันใดนั้นไป๋หยุนเผิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ไป๋ยี่เฟยเห็นฉากนี้อยู่ดีๆก็มีความรู้สึกที่เป็นบ้านขึ้นเล็กน้อย ในใจอบอุ่นอีกพักหนึ่ง
ต่อจากนั้นเขาอธิบายให้กับไป๋หยุนเผิงว่า “การตั้งครรภ์ของเสว่เอ๋อเป็นฝาแฝด คลอดธรรมชาติไม่ได้”
ไป๋หยุนเผิงพอได้ยินมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที “ใช่ใช่ใช่ ดูสมองของผมนี่สิ ล้วนถูก…….”
“อ่า! เฮ้ย……”
ไป๋ยี่เฟย “…….”
เมื่อกี้ไป๋หยุนเผิงตื่นเต้นเกินไปแล้ว อดไม่ไหวที่จะตบหน้าผากของตนเองตบแล้วตบอีก แต่เนื่องเพราะตื่นเต้นดีอกดีใจชั่ววูบตบจนหน้าผากของตนเองแดงขึ้นมาโดยตรง
ครั้งแรกที่ไป๋ยี่เฟยได้เห็นลักษณะท่าทีที่ไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ของไป๋หยุนเผิง ก็ไม่รู้ว่าควรพูดไม่ออกหรือว่าควรหัวเราะแล้ว
ในเวลานี้ ไป๋หยุนเผิงนึกถึงอะไรขึ้นมา จากนั้นหมุนตัวปรากฏผู้เฒ่าที่ผมขาวคนหนึ่งออกมา พูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “มา รู้จักกันสักหน่อย นี่เป็นปู่รองของแก”
ผู้เฒ่าแม้ว่าผมขาว แต่ยืนตัวตั้งตรงเหมือนเดิม เห็นใบหน้าของเขาก็รู้ว่าตอนเยาว์วัยหน้าตาหล่อสดใส ก็เป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้แก่แล้ว ก็พูดไม่ได้ว่าหล่อสดใสไม่หล่อสดใสแล้ว
หลังจากไป๋ยี่เฟยมองเห็นเขาพูดอย่างมีมารยาทไปคำหนึ่ง “ปู่รอง”
ปู่รองคนนี้ใบหน้าจริงจัง หลังจากได้ยินเสียงเรียกนี้ก็เพียงแค่ อืม เบาๆเสียงหนึ่งเท่านั้น
เดิมทีไป๋ยี่เฟยโอบกอดความอารมณ์ดีไว้ทักทายกับเขา แต่ท่าทีของฝั่งตรงข้ามเย็นชาขนาดนี้ อีกทั้งยังมีความหยิ่งยโสเล็กน้อย ทันทีนั้นอารมณ์ของไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นแล้ว
แต่ถึงยังไงฝั่งตรงข้ามก็เป็นรุ่นอาวุโส เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
ปู่รองนั้นสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม หยิ่งยโสถามว่า “แน่ใจว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือ?”
ตอนที่เขาถามสายตาจ้องอยู่บนห้องคลอดโดยตลอด เห็นได้ว่าเขาห่วงใยกับเรื่องนี้อย่างมาก
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองเขาหนึ่งที ตอบกลับอย่างเบาๆว่า “ก่อนหน้านั้นทำการตรวจไปหลายครั้ง บอกว่าอย่างน้อยเป็นคนหนึ่ง”
จากนั้นหลังจากเขาตอบเสร็จ ปู่รองคนนี้หันหน้าไปยังไป๋หยุนเผิงอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่า เมื่อกี้ไม่ได้ถามไป๋ยี่เฟยอยู่เลย
ไป๋ยี่เฟยมีความอึดอัดเล็กน้อย แม้แต่ไป๋หยุนเผิงก็มีความไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “ใช่ล่ะ ล้วนตรวจอยู่ในเมืองหลวง หมอก็บอกอย่างนี้จริงๆ”
หลังจากไป๋ยี่เฟยอึดอัดเสร็จในใจก็กลั้นไฟเอาไว้ แม่มึงเอ่ย นี่คือไม่เชื่อคำพูดของเขา
ปู่รองนั้นสีหน้าเย็นชาถามว่า “ตั้งชื่อหรือยัง?”
“ยังไม่ได้เป็นการชั่วคราว” ไป๋หยุนเผิงตอบกลับ
ปู่รองพยักหน้านิดๆพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นเด็กผู้ชายหมดก็ชื่อไป๋กวงจง ไป๋กวงเย่า ถ้าหากว่าคนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงละก็ ตั้งสะเปะสะปะสักชื่อก็พอแล้ว” (กวงจงกับกวงเย่ามาจากสุภาษิต กวงจงเหย้าจู่ ตั้งชื่อนี้หวังว่าหลังจากเด็กโตแล้วจะมีฝีมือสามารถเป็นข้าราชการที่มีชื่อเสียงล้วนเป็นเกียรติทั้งตระกูล)
ได้ยินคำพูดนี้ ไป๋ยี่เฟยไม่พอใจทันที
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้านิดๆจ้องมองปู่รองคนนี้ บนใบหน้าก็ไม่มีรอยยิ้มเช่นกัน เพียงแค่พูดเบาๆว่า “ชื่อของลูกผมผมจะตั้งเอง ก็ไม่รบกวนปู่รองแล้ว”
พอไป๋หยุนเผิงได้ยินคำนี้ก็รู้ว่าสภาพการณ์เห็นท่าไม่ดี
เหมือนอย่างที่คิด ปู่รองนั้นใบหน้าขึงลับลงทันที โมโหร้องตะโกนเสียงหนึ่ง “เลวทรามชั่วช้า! ชื่อของรุ่นหลังตระกูลไป๋เกี่ยวข้องกับการพัฒนาขยายของตระกูลไป๋ในอนาคต จะให้แกตัดสินใจได้อย่างไรหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำนี้ในใจยิ่งไม่พอใจแล้ว
อีกทั้งเริ่มตั้งแรกเขาก็ไม่พอใจมากกับรุ่นอาวุโสของตระกูลไป๋อยู่แล้ว
ก่อนหน้านั้นเขาเนื่องเพราะฆ่าฉุงโยวเวย ตระกูลฉุงอยากจะแก้แค้น ในตอนต้นตอนที่หลี่เสว่ไปขอความช่วยเหลือที่ตระกูลไป๋ ก็คือพวกรุ่นอาวุโสเหล่านี้ขัดขวางไว้
ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ หลี่เสว่ก็จะไม่คุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านเก่าตระกูลไป๋จนล้มสลบไป
ไอ้แก่เหล่านี้แต่ละคนล้วนอยู่เพื่อผลประโยชน์ ในตอนต้นตนเองไม่สามารถนำผลประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศเลย ล้วนเลือกที่จะรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
เวลานั้นตอนที่ไป๋ยี่เฟยรู้เรื่องนี้โกรธแค้นมาก ถึงแม้ว่าพวกคุณไม่คิดที่จะช่วย อย่างน้อยก็ต้องออกมาบอกกับหลี่เสว่ หลี่เสว่ก็จะไม่ถึงขนาดคุกเข่าจนล้มสลบไป
แต่พวกเขาล่ะ?
อะไรล้วนไม่พูด ไม่ปฏิเสธ ทำให้หลี่เสว่คิดว่ามีความหวัง