หลังนายหญิงเจิ้งหัวเราะเย้ยหยันออกมา ก็ไม่คิดจะโต้เถียงเรื่องเหล่านี้มากไปกว่านี้อีก จึงพูดอีกว่า “เสนอราคามา ต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะไปจากลูกสาวฉันได้?”
ไป๋ยี่เฟยอดแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อคืนส่งคนมาฆ่าตน วันนี้มาพูดเรื่องเงินกับเขาอีก หรือว่าไม่ควรจะพูดเรื่องเงินก่อนแล้วค่อยหาคนมาฆ่าตนหรอกหรือ?
ไป๋ยี่เฟยอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นก็ถามเธอว่า “อันนี้ก็ต้องดูที่คุณ คุณรู้สึกว่าลูกกสาวคุณมีค่าเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้นแล้วกัน?”
“แก!” นายหญิงเจิ้งพลันเดือดดาลขึ้นมาทันที
ไป๋ยี่เฟยยิ้มอีกครั้ง “งั้นผมถามแบบนี้แล้วกัน คุณรู้สึกว่าตระกูลเจิ้งครึ่งหนึ่งคุ้มไหม?”
นายหญิงเจิ้งมองไป๋ยี่เฟยพลางเยาะหยันว่า “นี่ก็คือจุดประสงค์ของแกสินะ? แกมาเพราะเงินของตระกูลเจิ้งอย่างที่คิดจริงๆ!”
ไป๋ยี่เฟยเพียงส่ายหน้าแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่หรอก ผมไม่ได้สนใจตระกูลเจิ้งของพวกคุณเลยสักนิด”
นายหญิงเจิ้งเย้ยหยัน “อย่ามาเสแสร้ง ความคิดนั้นของแก ฉันมองออกแต่แรกแล้ว!”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างไม่ยี่หระ “คุณจะคิดยังไงก็แล้วแต่คุณเถอะ”
นายหญิงเจิ้งเห็นเช่นนี้ ก็ถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยแล้วกล่าวว่า “งั้นแกพูดมา แกต้องการเงื่อนไขอะไร? เสนอมาสิ”
ไป๋ยี่เฟยตอบเสียงราบเรียบ “คุณเติมเต็มเงื่อนไขของผมไม่ได้หรอก”
“แกไม่ต้องการไว้หน้าก็ไม่ต้องไว้!” นายหญิงเจิ้งตะคอกเสียงดัง
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดอย่างยียวน “แล้วจะเอายังไงอีก?”
ที่จริงไป๋ยี่เฟยในตอนนี้โกรธขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เมื่อคืนนายหญิงเจิ้งเพิ่งจะส่งคนไปฆ่าตน ตอนนี้กลับมาแสร้งทำเป็นพูดดีต่อรองเงื่อนไขกับเขาอีก
แต่นายหญิงเจิ้งกลับโกรธถึงขีดสุดเพราะคำพูดประโยคนี้ของเขา
นายหญิงเจิ้งสายตาเย็นเยียบ ยกมือตบไปที่ไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยในใจตื่นตระหนก ฝ่ามือนี้ของนายหญิงเจิ้งดูไม่มีแบบแผนอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงกลับมีแรงมหาศาล หากเป็นคนธรรมดาถูกฝ่ามือนี้ตบเข้าไป ไม่ตายก็เจ็บหนัก
ทว่าตอนที่เธอกำลังจะแสดงการกระทำออกมา จู่ๆ นายหญิงเจิ้งก็เก็บแรงที่มือ ฝ่ามือเปลี่ยนเป็นกางนิ้ว กุมลำคอของไป๋ยี่เฟยไว้
ไป๋ยี่เฟยสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นายหญิงเจิ้งหัวเราะเสียงเย็นออกมาก่อนจะพูดว่า “ฉันคิดจะฆ่าแก ก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”
จากนั้นเธอก็เก็บมือของเธอกลับไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “หากไม่ใช่เพราะสามีฉัน แกคงตายไปนานแล้ว!”
เวลานี้ไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะมองออก นายหญิงเจิ้งถึงกับเป็นยอดฝีมือระดับที่สองชั้นสูงคนหนึ่ง
เขายังมองพลาดไปจริงๆ
นายหญิงเจิ้งมองไป๋ยี่เฟยอย่างเย็นชา “ฮึ ทางที่ดีต่อไปอย่าได้มีใจคิดไม่ซื่อจะดีกว่า ในตระกูลเจิ้งคนมีฝีมือเหมือนอย่างฉันมีไม่น้อยเลย”
“หากแกกล้ารังแกหยู่ยาน ถึงเวลา จะต้องทำให้แกตายอย่างน่าอนาถแน่นอน!”
พอได้ยินเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยในใจก็ตื่นตระหนก “ความหมายของคุณคือ……”
นายหญิงเจิ้งมองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่งอย่างลึกล้ำ สุดท้ายจำต้องถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “หยู่ยานชอบแก สามีฉันก็ตัดสินใจแล้วเช่นกัน ฉันจึงไม่มีอะไรจะพูดอีก ให้แกมาอยู่ที่นี่ เพียงแค่อยากจะดูว่าคนอย่างแกมีนิสัยเป็นยังไง”
“หวังว่าคำพูดเมื่อกี้ของแกจะเป็นความจริง ไม่ได้เห็นแก่ทรัพย์สินของตระกูลเรา และอยู่ด้วยกันกับหยู่ยานด้วยความจริงใจ”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ในใจก็เต้นตึกตัก “อย่างนั้นผม……”
“หึ!” นายหญิงเจิ้งแค่นเสียงเย็น เวลาพูดในแววตาเผยความรังเกียจออกมาสายหนึ่ง “แกวางใจ ฉันไม่ได้ตำหนิที่แกเสียมารยาทเมื่อกี้ มันกลับแสดงว่าคนอย่างแกมีความจริงใจ ไม่เหมือนคนที่มี……”
เวลานี้ไป๋ยี่เฟยกำหมัดแน่ ความคิดไม่ได้อยู่ที่นี่โดยสิ้นเชิง
หากที่นายหญิงเจิ้งพูดขอเพียงเจิ้งซงออกปากพูด เธอก็ไม่มีทางหักหลังล่ะก็ อย่างนั้นเมิ่งเจียที่มาฆ่าตนเองเมื่อคืน ใครเป็นคนส่งมากัน?
เมิ่งเจียพูดโกหกตั้งแต่แรก
แย่แล้ว!
ไป๋ยี่เฟยใจเต้นโครมคราม เสี่ยวอิงมีอันตราย!
เวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่นอกประตู “นายหญิง แขกของสำนักหนานเหมินมาถึงแล้ว”
“รู้แล้ว”
ไป๋ยี่เฟยกำลังจะหมุนตัวเดินออกไป พอได้ยินเช่นนี้กลับนิ่งไปทันที
นายหญิงเจิ้งมองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง พลางพูดว่า “อายุมากไปหน่อย แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ตามฉันมานี่สิ จะพานายไปพบคน”
คำพูดตรงใจไป๋ยี่เฟยพอดี ดังนั้นจึงพยักหน้า เดินตามนายหญิงเจิ้งออกไป
หลังจากออกมา เจิ้งหยู่ยานก็รีบวิ่งมาหาทันที ถามไป๋ยี่เฟยเบาๆ ว่า “แม่ฉันพูดอะไร? ได้กวนใจคุณเลหรือเปล่า?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าอย่างเงียบๆ
พวกเขาขึ้นลิฟต์มาหยุดที่ห้องทำงานชั้นบนสุด
พอเปิดประตูออกมา ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกว่าแตกต่างจากเมื่อวาน
บอดี้การ์ดในวันนี้เยอะกว่าเมื่อวานถึงสามเท่า ซึ่งเมื่อวานไม่มีใครอยู่ข้างกายทั้งนั้น แต่เวลานี้ที่ด้านหลังเจิ้งซงกลับมีบอดี้การ์ดสิบกว่าคนยืนอยู่
ไป๋ยี่เฟยมองคร่าวๆ แวบหนึ่ง คนเหล่านี้โดยรวมต่างเป็นยอดฝีมือระดับที่สองและสามทั้งนั้น
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีชายหญิงอีกอย่างละคนยืนอยู่ข้างกายเจิ้งซง
ผู้หญิงคนนั้นก็คือพี่สะใภ้ที่เจิ้งหยู่ยานเรียกเมื่อวาน และผู้ชายที่อยู่ด้านข้างเธอน่าจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจิ้งหยู่ยาน
เจิ้งซงในเวลานี้กำลังนั่งอยู่บนโซฟา และมีคนสามคนนั่งอยู่ตรงข้ามเขา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนของหนานเหมิน
และสามคนนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับที่หนึ่งทั้งสิ้น
คนที่เป็นหัวหน้าสวมแว่นตาดำ ผมหวีเป็นทรงโมฮอก
ไอ้โมฮอกพูดยิ้มๆ กับเจิ้งซงว่า “คุณเจิ้ง คุณต้องคิดถึงผลที่ตามมาให้ดี ถึงเวลานั้น ท่าทีที่พวกเรามีต่อคุณเจิ้งจะไม่เหมือนอย่างตอนนี้แล้ว”
ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยแปลงโฉมอยู่ ทั้งพยายามเก็บงำตนเองอย่างสุดความสามารถ พวกเขาจึงมองไม่ออกว่าไป๋ยี่เฟยเป็นผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นจึงเดินนายหญิงเจิ้งมายืนอยู่ด้านหลังเจิ้งซงอย่างเงียบๆ
เจิ้งซงเพียบเหลือบมองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่งอย่างเรียบเฉย และไม่ได้มีท่าทีอื่นอีก
“ก่อนหน้านี้ผมบอกไว้ชัดเจนมากแล้ว เขตที่สองไม่ว่าจะเป็นสำนักหนานเหมินหรือสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง ต่างไม่ได้เป็นแค่สถานที่เล็กๆ พวกคุณไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตามผมก็ล่วงเกินไม่ไหวทั้งนั้น” เจิ้งซงกล่าวเสียงเรียบ
ไอ้โมฮอกยังคงยิ้มบางๆ “งั้นคุณเจิ้งทำไมไม่ลองเดิมพันดูล่ะ? หากเดิมพันถูก คุณจะมีมากขึ้นกว่าตอนนี้อีกนะ”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ผมเดิมพันไม่ไหว” เจิ้งซงตอบเสียงเรียบ
ไอ้โมฮอกก็ไม่ได้โกรธเช่นกัน ถึงขั้นยังพูดยิ้มๆ ด้วยซ้ำ “ชีวิตคนเราเดิมก็เป็นเกมเดิมพันเกมหนึ่ง ในการเลือกแต่ละครั้งก็คือการเดิมพันครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ? คุณเจิ้งทำไมไม่เทหมดหน้าตักไปเลยล่ะ?”
ทว่าเจิ้งซงยังคงปฏิเสธ “เบื้องหลังของการพนันเช่นนี้ กลับเป็นชีวิตของชาวบ้านหลายล้านคน ผู้แซ่เจิ้งไม่กล้าหยิบมาเดิมพัน”
เห็นเจิ้งซงปฏิเสธท่าเดียว ไอ้โมฮอกก็ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่พูดมากอีกเช่นกัน”
“แต่ข้อเสนอของหัวหน้าก่อนหน้านี้ ทำไมคุณเจิ้งยังไม่ตอบกลับอีก? คุณดูถูกคุณชายของพวกเราใช่ไหม?”
เจิ้งซงได้ยินก็รีบตอบทันที “ไม่ใช่แน่นอน อันที่จริงลูกสาวมีคู่สมรสแล้ว พิธีแต่งงานจะจัดขึ้นอีกสองวัน เรื่องนี้ทำได้เพียงนับว่าตระกูลเจิ้งเราไร้วาสนานั้นแล้ว”
“โครม!”
เจิ้งซงเพิ่งพูดจบ ส่วนไอ้โมฮอกก็ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ชายผมเหลืองคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาก็ตบโต๊ะด่าเสียงดังว่า “เจิ้งซง แกอย่ามามองข้ามความหวังดีของคนอื่น คุณชายของเราต้องการหน้าตาก็ต้องได้หน้าตา ต้องการเงินทุนก็ต้องได้เงินทุน ระดับฝีมือก็บรรลุถึงระดับที่หนึ่งแล้ว ยอมเกี่ยวดองกับตระกูลเจิ้งของพวกแกก็เป็นการเห็นค่าพวกแกแล้ว!”
เจิ้งซงได้ยินก็หน้าขรึมลงทันที ก่อนจะกล่าวว่า “งั้นก็ต้องขอบคุณในความกรุณาของคุณชายคุณมาก ตระกูลเจิ้งของเราไม่อาจเอื้อม”
“สามหาว!”
ชายผมเหลืองพลันยืนขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ส่วนบอดี้การ์ดที่ด้านหลังของเจิ้งซงก็เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ทำท่าเตรียมพร้อมออกมา พร้อมกับกันเจิ้งซงไว้ด้านหลัง
คนของสองฝ่ายพลันคุมเชิงกันและกันขึ้นมา
เวลานี้เอง ไอ้โมฮอกก็พูดยิ้มๆ ว่า “อย่าโกรธมากขนาดนั้นสิ”
หลังพูดจบก็เอ่ยกับชายหัวเหลืองด้านข้างว่า “หลานเฉียน ดีร้ายอย่างไรคุณเจิ้งก็เป็นนักธุรกิจมีความรู้ อย่าใช้กำลังกับคุณเจิ้ง”
จากนั้นก็กล่าวกับเจิ้งซงอีกว่า “คุณเจิ้งขำขันแล้ว หลานเฉียนเขาเป็นคนหยาบคายคนหนึ่ง อยู่ภาคใต้หยาบคายจนเคยชิน หวังว่าคุณเจิ้งจะไม่ถือสา”
เจิ้งซงกลับมองพวกเขาไม่พูดอะไร
ไอ้โมฮอกเห็นเช่นนี้ก็อดถอนหายใจพลางพูดออกมาไม่ได้ว่า “เอาอย่างนี้เถอะ ผมจะรายงานหัวหน้าตามความจริง ส่วนเรื่องเกี่ยวดองกัน ในสำนักหนานเหมินของเรา หากชอบผู้หญิงคนเดียวกัน วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ก็คือการสู้ตัดสิน”
“แต่ หากคุณชายของเราไม่สนใจเรื่องนี้ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ขออำลา”
หลังพูดจบพวกเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
เจิ้งซงก็ไม่ได้พูดว่าส่งแขกเช่นกัน นายหญิงเจิ้งจึงเอ่ยเตือนว่า “ต้องส่งแขกไหม?”