หลังจากรอเขายืนนิ่ง เขาตื่นตะลึงเต็มใบหน้าจ้องมองไป๋ยี่เฟย
สีหน้าไป๋ยี่เฟยกลับสงบเป็นธรรมชาติยืนอยู่ที่นั่น คล้ายดั่งเมื่อกี้ไม่ได้ประมือกันเลย
หงจุนจ้องเขม็งไป๋ยี่เฟย ตาล้วนแดงขึ้นแล้ว ไม่สมัครใจร้องตะโกนพูดว่า “แม่มึงเอ่ย คุณ……คาดไม่ถึงก้าวหน้าอีกแล้ว!”
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
อยู่ในการรับรู้ของหงจุน พลังความสามารถของไป๋ยี่เฟยยังอยู่ในตอนต้นที่เขาได้ต่อสู้กันตัวต่อตัวกับเต้าจ่าง แต่ไป๋ยี่เฟยในเวลานั้น แม้แต่พลังความสามารถระดับที่หนึ่งล้วนไม่มี
แต่ไป๋ยี่เฟยในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเป็นยอดฝีมือของระดับที่หนึ่งชั้นต่ำ เขาก็สามารถฆ่าอย่างสบายๆเช่นกัน
อู๋หยุนกับพานปู้ถิงที่ได้เห็นฉากนี้ในรถบรรทุกล้วนตะลึงงันเลย
การประมือกันเหล่านั้นก่อนหน้านั้นไม่สามารถมองออกถึงพลังความสามารถของไป๋ยี่เฟย ตกลงว่าแข็งแกร่งมากขนาดไหนเลย ถึงยังไงฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นผู้ที่ลี้ภัยกลุ่มหนึ่ง ไม่มีพลังความสามารถที่แท้จริงอะไร
แต่ตอนนี้ พอเขาประมือกันกับหงจุน ก็สามารถรู้ได้ว่า พลังความสามารถของไป๋ยี่เฟยมีความแข็งแกร่งมากขนาดไหน
“เสี่ยวอิงเอย เขา ตกลงว่าเป็นคนที่ทำอะไรกันแน่ล่ะ?” อู๋หยุนถามอย่างอึ้งชะงัก
หลิวเสี่ยวอิงได้ยินคำพูดภูมิใจอย่างมากบอกว่า “เขาเป็นคนที่ทำเรื่องใหญ่ เป็นวีรบุรุษ!”
……
ก่อนหน้านั้นไป๋ยี่เฟยเคยรับปากลู่เชี่ยนมาก่อน จะไม่ฆ่าหงจุน แต่นั่นคือแต่ก่อน ยิ่งกว่านั้นอีกความตายของลู่เชี่ยนเห็นได้ชัดว่า มีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่ ดังนั้นในตอนนี้เขาจะไม่ปฏิบัติตามอีกแล้ว
“ตอนนี้สำคัญที่สุดคือเผชิญหน้ากับข้าศึกที่มาจากภายนอก ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้นมาจัดการเรื่องของพวกคุณ” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อคุณมาเองแล้ว งั้นวันนี้ก็จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนเถอะ”
ดังนั้นคำพูดของเขาเพิ่งพูดจบ อยู่ดีๆหงจุนเงยหน้าขึ้นฟ้าร้องตะโกน “อ่า!”
เดิมทีไป๋ยี่เฟยไม่ใส่ใจอยู่แล้ว กลับอยู่ในวินาทีถัดมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนอย่างกะทันหัน
หงจุนที่อยู่ต่อหน้าตามด้วยเสียงร้องตะโกนของเขา อยู่ดีๆเส้นผมกลายเป็นสีขาว ตาก็ค่อยๆกลายเป็นแดงฉานเช่นกัน
อาการนี้ กับอาการก่อนหน้านั้นของเขาคล้ายกันมากขนาดไหนล่ะ
ไป๋ยี่เฟยประหลาดใจเบิกตาโพลงทั้งคู่
หงจุนใช้ตาที่แดงฉานคู่หนึ่งจ้องมองข้างหน้า ในปากคำรามอยู่ “ความแค้นในการฆ่าพ่อ!”
“ความแค้นในการฆ่าภรรยา!”
“ความแค้นที่ฆ่าล้างตระกูล!”
“ฆ่า!”
เขาทั้งร้องตะโกนอยู่ ทั้งชูมือขึ้นโบกง้าวในมือไปมาฟันมั่วไปทั่ว
เขาเสียสติแล้ว แม้แต่คนที่เขาพามาเองล้วนฟันฆ่าอย่างไม่ไว้ไมตรีสักนิด
ไป๋ยี่เฟยเห็นฉากนี้ ขมวดคิ้วขึ้นมา
และอยู่ในเวลานี้ ในที่สุดพนักงานรักษาความปลอดภัยของเมืองกวงหมิงก็มาถึงแล้ว พวกเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบล้อมรอบประตูโรงแรมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่ลี้ภัยเหล่านั้นไม่มีที่จะหนี ได้เพียงแต่ทิ้งอาวุธนั่งยองๆอยู่กับพื้น
และหงจุนที่เสียสติแล้ว แยกแยะคนของตนเองกับศัตรูไม่ออกแล้ว เพียงเห็นเป็นคนก็พุ่งเข้าไป
หงจุนก็มีพลังความสามารถระดับที่หนึ่งชั้นต่ำอีก คนธรรมดาเหล่านี้ก็เหมือนดั่งกุ้งตัวเล็ก อยู่ต่อหน้าเขาอ่อนแอทนไม่ไหว
ไป๋ยี่เฟยมองเห็นฉากนี้ลงมือทันที เท้าเหยียบพุ่งออกไปทันที
หงจุนรู้สึกถึงการใกล้ชิดของไป๋ยี่เฟย ฟันเข้าไปหนึ่งที
และไป๋ยี่เฟยที่อยู่กลางอากาศ อยู่ดีๆตากลายเป็นสว่างออกมา
หมัดหนึ่งเขาชกอยู่ที่มีดของหงจุน จากนั้นหงจุนรวมกับมีดทั้งตัวลอยออกไปพร้อมกัน
“ปั้ง!”
หงจุนที่ล้มอยู่กับพื้นฝุ่นกระจายออกมาแผ่นหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยรู้ว่าในตอนนี้หงจุนอันตรายมาก ก็ไม่ลังเลมากเช่นกัน เข้าไปอย่างรวดเร็วอยากจะฆ่าหงจุน
แต่หงจุนที่ล้มอยู่กับพื้นพลิกตัวขึ้นมาแล้ว จับผู้ลี้ภัยคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆโยนไปยังไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยเตรียมตัวหลบพ้นอย่างรวดเร็ว รอตอนที่เขาเห็นหงจุนอีกครั้ง พบเห็นว่าเขากระโดดหลายทีหนีออกจากวงล้อมรอบไปแล้ว อีกทั้งยังฟันพนักงานรักษาความปลอดภัยทำให้ได้รับบาดเจ็บสองคน
ในเวลานี้ ไป๋หู่ สวีลั่งพวกเขารีบเร่งเข้ามาแล้ว
เฉินอ้าวเจียวมองเห็นฉากที่วุ่นวายนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา “นี่เป็นเรื่องอะไรกัน?”
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้ตอบเขา แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
จื่ออีเคยบอกมาก่อนว่า สาเหตุที่คนของตระกูลไป๋จะปรากฏสภาวะแบบนั้น เป็นเพราะว่าในตระกูลมีคนประสานกับคนที่เดนเหนือเทพยุทธ์ จึงทำให้พันธุกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าหงจุนจะมีอีกได้ยังไงล่ะ?
ผ่านไปนานมาก ไป๋ยี่เฟยชี้ไปยังผู้ที่ลี้ภัยเหล่านั้นพูดว่า “จับพวกเขาทั้งหมดไปขังไว้”
คนทั้งหลายพยักหน้าต่อๆกัน รีบดำเนินการทันที
การลอบสังหารครั้งนี้ก็จบแบบรีบร้อนอย่างนี้แล้ว
……
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยกลับถึงรถบรรทุก สายตาที่อู๋หยุนกับพานปู้ถิงจ้องมองเขาเปลี่ยนไปทันที
ไป๋ยี่เฟยหันหน้าไปรู้สึกผิดกับอู๋หยุนพวกเขายิ้มหนึ่งทีพูดว่า “คุณน้าขอโทษ ทำให้ท่านตื่นตระหนกตกใจแล้ว”
“ไม่มี ไม่มี” อู๋หยุนส่ายหัวทันที อีกทั้งยังโบกมือแล้วโบกมืออีก
ในเวลานี้ หลิวเสี่ยวอิงที่อยู่ข้างคนขับส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งให้กับไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยรับมาอย่างเป็นธรรมชาติมากเช็ดหน้าเช็ดแล้วเช็ดอีก
และหลังจากไป๋ยี่เฟยขึ้นรถแล้ว พานปู้ถิงไม่กล้าตำหนิต่อว่าไป๋ยี่เฟยอีกเลยเช่นกัน
ในเวลานี้ หัวหน้าของพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นเดินมาข้างหน้าไป๋ยี่เฟยถามว่า “ลูกพี่ไป๋ จะสืบภูมิหลังของคนเหล่านี้ให้ชัดเจนหรือไม่?”
“ไม่ต้อง ขังไว้ก็พอ” ไป๋ยี่เฟยพูด
“ครับ”
หลังจากคนนั้นขานรับแล้วหมุนตัวออกไปทันที
อู๋หยุนกลับประหลาดใจจนเบิกตาโพลงทั้งคู่ “ลูกพี่ไป๋หรือ?”
เสียงนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ผู้จัดการหวังพูดอยู่ในโรงแรมเหล่านั้นขึ้นมา
ที่แท้คนที่ก่อตั้งเมืองเจาหยางกับเมืองกวงหมิง คาดไม่ถึงก็คือวัยรุ่นคนนี้ที่อยู่ต่อหน้า
และในที่สุดก็รู้ว่าทำไมสิบล้านล้วนไม่สามารถทำให้ไป๋ยี่เฟยมีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย
ดูพานปู้ถิงที่มีปริญญาเอกอีก อายุยังน้อยก็มีตำแหน่งรองประธาน เทียบกับไป๋ยี่เฟย ล้วนไม่คุ้มที่จะเอ่ยถึง
ทันใดนั้นอู๋หยุนอึดอัดขึ้นมา
หลังจากไป๋ยี่เฟยเช็ดเหงื่อเสร็จ ก็เลยสตาร์ทรถขับไปยังโรงพยาบาล
ไป๋ยี่เฟยนึกถึงเรื่องที่หลิวเสี่ยวอิงเคยบอกกับเขามาก่อน
หลิวเสี่ยวอิงเป็นเลือดแพนด้าพิเศษ และตอนที่เธอเพิ่งคลอดออกมา เพราะว่าเป็นโรคเม็ดเลือดแดงแตกสลายในทารกแรกเกิด จำเป็นต้องเปลี่ยนเลือด แต่ล้วนรู้ว่าเลือดแพนด้าพิเศษกว่า โดยพื้นฐานเท่ากับไม่มีทางช่วย
แต่ว่าพ่อแม่ของหลิวเสี่ยวอิงไม่ได้ละทิ้งหลิวเสี่ยวอิงเลย หลิวเสี่ยวอิงบอกว่าแม่ของเธอ เพิ่งคลอดลูกเสร็จ ก็คุกเข่าอยู่ต่อหน้าหมอ วิงวอนหมอช่วยเหลือเธอ
ตอนที่หลิวเสี่ยวอิงพูดถึงสิ่งนี้ ตาล้วนแดงแล้ว
แม้ว่าในเวลานั้นเธอเป็นเพียงแค่เด็กทารก แต่ต่อสิ่งนี้เธอซาบซึ้งในบุญคุณมาก เพราะว่านี่ก็คือความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ท่าทีอู๋หยุนไม่ดีต่อเขาขนาดนี้ เขาก็จะไม่โมโห
บนรถ อยู่ดีๆหลิวเสี่ยวอิงแอบพูดกับไป๋ยี่เฟยคำหนึ่งว่า “ขอบคุณ”
ไป๋ยี่เฟยอึ้งชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นส่ายหัวนิดๆ ยิ้มแล้วยิ้มอีกกับหลิวเสี่ยวอิงอีก
อู๋หยุนกับพานปู้ถิงที่นั่งอยู่แถวข้างหลังมองเห็นฉากนี้ ยิ่งเพิ่มความอึดอัดแล้ว
หลังจากถึงโรงพยาบาล ไป๋ยี่เฟยก็เลยพูดกับอู๋หยุนและหลิวเสี่ยวอิงว่า “คุณน้า ผมยังมีเรื่องเล็กน้อยที่ต้องไปทำ ก็จะไปก่อนแล้ว ท่านสามารถอยู่นี้ต่อได้ ที่นี่ปลอดภัยมาก ไม่ต้องเป็นห่วง”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มพูดกับอู๋หยุนอย่างมีมารยาทสองคำ ไป๋ยี่เฟยก็ออกไปเลย
รอไป๋ยี่เฟยไปแล้ว พานปู้ถิงจึงเดินไปข้างกายอู๋หยุนถามเสียงเบาๆว่า “คุณน้า ถ้าไม่ก็ฉวยเวลานี้ ผมกับเสี่ยวอิงเธอ……”
อู๋หยุนจ้องมองพานปู้ถิงอย่างเย็นชาหนึ่งที
เธอนึกถึงตอนที่อยู่ในโรงแรมก่อนหน้านั้น ลักษณะท่าทีของพานปู้ถิงเหมือนดั่งรุ่นอาวุโสคนหนึ่งสั่งสอนหลิวเสี่ยวอิง ยังบอกว่าหลิวเสี่ยวอิงโง่เขลา แต่ตอนที่อยู่นอกโรงแรมพบเจอกับอันตราย ล้วนไม่รู้เนื้อรู้ตัวสักนิด อีกทั้งยังขวางพวกเขาไว้ไม่ให้ขึ้นรถ
ทั้งตอนที่อันตรายมาถึง ตกใจกลัวจนเหมือนอะไร เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดกับลักษณะท่าทีที่กล้าหาญของไป๋ยี่เฟย
แม้ว่าพานปู้ถิงไม่เป็นกังฟูไม่สามารถเทียบเท่ากับไป๋ยี่เฟย แต่บุคลิกดีกับลักษณะนิสัยที่แสดงให้เห็นก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดมากว่ามีความต่างกันอย่างแท้จริง
อู๋หยุนพูดอย่างเย็นชาว่า “ปู้ถิงเอย คุณดูสิเสี่ยวอิงกับไป๋ยี่เฟยมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดไหน ฉันก็พอใจมากกับไป๋ยี่เฟยเช่นกัน วันหลังเรื่องนี้พวกเราก็จะไม่ต้องเอ่ยถึงอีกเลย”
ในเวลานั้นพานปู้ถิงก็ตลึงตาค้างเลย