ศพ ตอนที่ 305 ร้องขอความเมตตา
ตอนที่ 305 ร้องขอความเมตตา
อความเมตตา
พอเห็นฉากตรงหน้า หน้าตรึงเครียดของผม ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขทันที
และในท่ามกลางกลุ่มควันเหล่านั้น ลําแสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมา แล้วลอยเข้าไปในป่าทันที
นั่นเป็นร่างเดิมของผีตานี ตอนนี้เธอกําลังจะกลับไปที่ต้นของเธอ
ผมจําทิศทางเอาไว้ เพราะอีกเดี๋ยวเราจะตามไปทําลายเหง้าของเธอ
เรื่องก็เป็นแบบนี้ ทีมเราต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ในที่สุดก็สามารถขจัดภัยร้ายได้สักที
สําหรับเรื่องหลังจากนี้ ก็ต้องบอกว่า เหมือนถั่วงอกต้นเล็กๆเหลือแค่เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆแล้ว ไม่จําเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาล และไม่มีอันตรายอะไรมากนัก เพียงแค่ต้องใช้เวลาหน่อยก็เท่านั้น
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย ในที่สุดก็จัดการผีตานีทั้งสามตนได้สักที
เมื่อหันกลับมามองหน้าทุกคน ผมก็เห็นแต่ละคนกําลังหายใจหอบเหนื่อย
หยางเนิ่วลงไปนั่งก้มจ้ำเบ้า ผมยุ่ง หน้าเลอะดินโคลนนิดหน่อย นั่งแบบไม่ห่วงสวยเลยสักนิด
หยางเนิ้วเห็นผมมองเธอ เธอก็เลยถลึงตากลับทันที “ มองอะไรฮะ? ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรือไง! ”
เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ผมก็ทําหน้าลําบากใจ และฉีกยิ้มอัมแสนขมขื่นออกมาทันที
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ สวนอาจารย์และคนอื่นๆต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตัวท่านนักพรตตู้ เดินออกไปอีกทางด้านหนึ่ง
ผมกวาดสายตามองรอบๆ พบว่าเหล่าเฟิงนอนอยู่ไม่ไกล
จึงไม่สนอะไรทั้งสิ้น รีบเดินไปหาทันที
ตอนมาถึงตรงหน้าเหล่าเฟิง ผมพบว่าเขายังสลบอยู่ แถมสีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ท่านนักพรตตู้กำลังหยิกตัวเขา จากนั้นก็หยิบยาสมุนไพรที่พักติดตัวมาให้เหล่าเฟิงกินเข้าไป
“ ท่านลุงตู้ เหล่าเฟิงสุดไอปีศาจเข้าไปบวกกับเมื่อกี้ใช้พลังเยอะเกินไป……”
“ อือ ! เมื่อกี้ข้าให้เขากินยาสงบใจแล้ว พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ! ”
ผลลัพธ์เสียงของท่านนักพรตตู้เพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนแรง
“ อา-อาจารย์! ”
“ อือ ข้าเอง ฟื้นมาได้ก็ดี! ” ท่านนักพรตตู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
“ จัดการ จัดการผีตานี้ได้หรือยัง? ” เหล่าเฟิงยังกังวลเรื่องผีตา
“ วางใจได้ จัดการร่างปีศาจเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวเราจะไปทําลายเหง้าของมัน แกพักผ่อนก่อนเถอะ! ”
ท่านนักพรตตู้พูดขึ้นมาอีกครั้ง
เหล่าเฟิงพยายามโคจรพลัง เขามีใจแต่ไม่มีแรง จึงได้แต่กวาดตามองรอบๆ
พอเห็นพวกเราทุกคนอยู่ครบ เขาก็พยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ต่อจากนั้น ผมและท่านนักพรตต์ก็ประคองเหล่าเฟิงไปนั่งพิงต้นกล้วย
ในเวลาเดียวกันก็บอกให้หยางเนิ่วคอยอยู่ดูแลเหล่าเฟิงที่นี่ ส่วนพวกเราก็เริ่มเดินเข้าไปในส่วนลึกของป่ากล้วย เตรียมตัดรากถอนโคนผีตานี กําจัดผีตานีอีกสองตนให้สิ้นซาก จะได้หยุดภัยร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จากทิศทางที่ปีศาจหนีไป พวกเราล็อคทิศทางส่วนใหญ่ได้แล้ว ตอนนี้กําลังหาที่ละต้น
แม้ที่นี่จะมีต้นกล้วยเยอะมาก แต่คิดจะหาต้นกล้วยของผีตานีสองตนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้น
เพราะปีศาจสองตนนี้บรรลุแล้ว ต้นกล้วยที่สถิตอยู่จะใหญ่เป็นพิเศษ และภายในระยะห้าเมตรนั้น
ก็แทบจะไม่มีหญ้าขึ้นเลย
แม้แต่ดอกไม้และต้นกล้วยต้นอื่นก็แห้งตายกันหมด
ดังนั้นภายใต้ดวงตาสวรรค์ ต้นกล้วยประเภทนี้เลยสะดุดตามาก
พวกเราปูพรมหาต่อไปเรื่อยๆ ปลาที่เคยเข้ามาติดอวนแล้วไม่มีทางหนีไปได้ง่ายๆ
ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็หาต้นกล้วยของผีตานีตนหนึ่งเจอ
พอเหล่าฉินเห็นต้นกล้วยต้นสูงใหญ่ก็เค้นเสียงดัง ฮี “ นางตานีสมควรตาย ให้ฉันจัดการเอง! ”
หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็เอาพลั่วออกมา แล้วทิ่มลงไปที่ต้นกล้วยต้นนั้นทันที
ต้นกล้วยสั่นเคลือ เสียงกรี๊ด “ อร้าย” ดังตามมาติดๆ ต่อด้วยของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาไม่หยุด
“ เมื่อกี้เก่งนักไม่ใช่เหรอฮะ ? ทําไมหัวหดแล้วละ ออกมาสู้ซิ ” เหล่าฉินทำหน้าโมโหจัด พลั่วในมือที่มลงไปไม่หยุด
ผีตานีตนนั้นก็ร้อง “ อร้าย…” ไม่หยุดเช่นกัน เสียงไม่จัดว่าดังมาก แต่มันก็บอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอกําลังทรมาน
ในเวลาเดียวกันยังร้องขอชีวิต บอกให้พวกเราปล่อยเธอไปเถอะ
แต่มันเป็นไปได้เหรอ? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้
สุดท้ายพวกเราก็ร่วมมือกัน ขุดเหง้าของต้นกล้วยขึ้นมา แล้วทําลายหัวใจสีเขียวที่กําลังกระพริบส่องแสง
สีเขียวอยู่ทันที
ในบรรดาผีตานีสามตนโดนกําจัดไปแล้วสอง ตอนนี้เหลือแค่ตัวสุดท้ายแล้วเท่านั้น
พวกเราไม่ได้หยุดพัก ตามหาต่อทันที สุดท้ายห่างออกไปสามสิบเมตร เราก็เจอเข้ากับต้นกล้วยของผีตานีตนสุดท้าย
ยังไม่ทันลงมือ ต้นกล้วยต้นนั้นก็สบัดต้นสองสามครั้ง หัวปลีสีแดงเหมือนเลือดที่กําลังห้อยลงมาช่อนั้น
จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นหน้าคน
ในเวลาเดียวกัน บนหน้านั่นก็เผยให้เห็นถึงความเศร้าและความหวาดกลัว มันร้องขอชีวิตจากพวกเรา
“ท่านนักพรตทั้งหลาย ได้โปรด ได้โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถอะ !
ผีตานีตนนี้ ก็คือผีตานีที่ฆ่าคน และยังเป็นผีตานีที่มีพลังเยอะที่สุดตัวนั้น
นี่ก็คือเหตุผลว่าทําไม เธอถึงสามารถเปลี่ยนหัวปลี ให้เป็นหน้าคนได้
“ ปล่อยแกไป ? ปล่อยแกไปฆ่าคนอีกงั้นเหรอ ? ” ท่านนักพรตพูดอย่างเย็นชา
“ ข้าไม่กล้าทําอีกแล้ว หากท่านนักพรตปล่อยข้าไป ข้าไม่กล้าทําร้ายคนอีกแล้ว ต่อไปจะกินแต่สัตว์ในเขานี้เท่านั้น! ” หลังจากพูดจบ หน้าบนหัวปลียังร้องไห้ออกมา “ ฮือฮือฮือ ”
เหล่าฉินเหลือบมองผีตานี จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย “ ฮี ปีศาจยังไงก็คือปีศาจ เดิมทีก็ไม่ควรมี
นางตานีอยู่บนโลกนี้ ขอให้ปล่อยไปก็ไม่มีประโยชน์ เสี่ยวติงแกเพิ่งเข้ามาไม่นาน ได้เวลาให้แกได้ฝึกพอดี แกไปจัดการมันด้วยตัวเอง! ”
เมื่อได้ยินเหล่าฉินพูดแบบนั้น ผมก็พยักหน้าให้ทันที ดึงดาบไม้ออกมา เตรียมจะตัดหัวปลี และทําลายต้นกล้วย
พอผีตานีเห็นผมเดินเข้ามาใกล้ ก็หวาดผวาทันที “ ท่าน ท่าน นักพรตน้อย ท่านอย่าฆ่าข้าเลยนะ
ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์นะ !”
“บริสุทธิ์ ? ตอนแกฆ่าคนทําไมไม่พูดว่าบริสุทธิ์บ้างละฮะ ” ผม พูดอย่างเย็นชา
แต่เสี้ยววินาทีต่อมา คําพูดของผีตานีตนนั้นกลับทําให้ผมตะลึง “ ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าคน ในฐานะวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในต้นกล้วย ถ้าฉันไม่ฆ่าเขา เมื่อใดที่ปลีของฉันเที่ยวแล้ว นั่นก็คือวันสุดท้ายของฉัน และชายคนนั้นก็มายุ่งกับฉันเอง ฉันไม่ได้ไปยุ่งกับเขาก่อน พวกเราสามคนพี่น้อง ทําเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น
พวกเราผิดตรงไหน? ”
คําพูดของผีตานีปนไปด้วยความเศร้าและความกลัว พอผมได้ยินคําพูดพวกนี้แล้ว ก็หยุดมือกลางคัน
ผมคิดว่าเธอก็ไม่ได้พูดผิดอะไร
ถ้าพูดกันตามความจริง เป็นเพราะลูกเศรษฐีพวกนั้นรนหาที่ตายเองต่างหาก ไม่มีเรื่องอะไรก็มายุ่งกับผีตานีเอง
หากผีตานีพวกนี้ปรากฏตัว งั้นก็เหลือแค่เพียงจุดจบเดียว นั่นก็คือไม่ฉันตายแกก็ต้องตาย
พวกลูกเศรษฐีมีชีวิต งั้นวิญญาณของนางตานีก็ไม่ใช่อีกหนึ่งชีวิตเหรอ?
ถ้ายึดตามคําพูดของผีตานี เธอก็ไม่ผิดนะ เธอก็ควรฆ่าเจ้าหมอนั้นจริงๆนั่นแหละ
มันก็เหมือนกับเวลาเราหิวก็ต้องกินข้าว หากไม่กินข้าวเราก็จะหิวตาย
ผีตานีเห็นผมนิ่งไป เลยพูดกับผมอีกครั้ง “ ตอนนี้ชายคนนั้นก็ตายไปแล้ว ฉันสามารถอยู่ต่อได้แล้ว
ถึงร่างปีศาจจะโดนพวกท่านทําลายไปแล้ว แต่ฉันเต็มใจทําตัวใหม่ เป็นปีศาจที่กลับตัวกลับใจใหม่
ยอมอยู่ภายใต้การดูแลของท่านนักพรต กลายเป็นปีศาจที่ดี ไม่ฆ่าคน เพียงแค่หาสัตว์กินบนเขานี้เท่านั้น
ท่านนักพรตได้โปรดเปิดทาง เหลือทางรอดให้กับฉันด้วย ! ได้โปรด ฮือฮือฮือ… ”
นางตานีช่างน่าสงสาร ขอร้องอ้อนวอนไม่หยุด
ช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างลําบากใจ ในใจมีปนแห่งความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้น
ผมยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนสูงส่งอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล
คําพูดของผีตานีทําให้ผมหวั่นไหวจริงๆ ส่งผลกระทบต่อประสาทของผม
เหมือนคํากล่าวที่ว่า เพื่อความอยู่รอด ฉันทําอะไรผิดละ?
คําพูดของผีตานีทําให้ความคิดของผมสับสนพอสมควร
แม้อีกฝ่ายจะพูดเพื่อร้องขอชีวิต แต่ผมเข้าใจเหตุผลของเธอ
อีกฝ่ายเป็นคนก่อเรื่อง หลังจากนั้นเราก็ออกมาปรากฏตัวบนโลก
ถ้าเราไม่ฆ่าอีกฝ่าย งั้นเราก็จะเป็นคนที่ต้องตายเอง
คุณบอกซิว่าฉันผิดตรงไหน เห็นอยู่ชัดๆว่าอีกฝ่ายรนหาที่ตายเอง ตอนนี้พวกคุณมาบุกถึงบ้าน
ทําลายร่างปีศาจของฉัน และยังจะเอาชีวิตฉันอีก
ฉันยอมรับผิดแล้ว ยอมเปลี่ยนตัวเองใหม่ จะทําตามที่พวกคุณบอก ต่อไปจะไม่ทําร้ายมนุษย์อีก กินแค่สัตว์แถวนี้ ขอแค่คุณยอมไว้ชีวิตฉันเท่านั้น
หากพวกคุณยังไม่ยอมรับเงื่อนไขพวกนี้ งั้นใครดีใครชั่วกันแน่ละ ?
ถ้าพวกเราช่วยลูกเศรษฐีให้รอดพ้นจากความตาย ฆ่าปีศาจที่คิดจะช่วยชีวิตตัวเอง เราจะไม่ได้กลายเป็นคนช่วยต่อกรรมทําชั่วซะเองเหรอ ?
และพวกเรา ที่เป็นคนขับไล่สิ่งชั่วร้ายแทนสวรรค์นั้น กําลังทําแทนสวรรค์อยู่จริงๆหรือเปล่า?