“คุณชายใหญ่เดินทางลำบากแล้ว” ฉุงโยวหมิงค้อมกาย พูดกับจีซือด้วยความนอบน้อมถึงสิบส่วน
จีซือเพียงมองอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง ส่งเสียงว่าอืมและไม่พูดอะไรอีก
ท่าทีไม่จืดไม่เค็มเช่นนี้ ทำให้ฉุงโยวเวยกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็ปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะผายมือออกมาแล้วเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “คุณชายใหญ่เชิญด้านใน”
พอทุกคนเห็นเช่นนี้ ก็พากันตบมือขึ้นมา
แต่ในช่วงเวลาที่ครึกครื้นเช่นนี้ จีซือเพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เข้าไปแล้ว เวลากระชั้นชิด ให้น้องสาวคุณรีบลงมาเถอะ”
พอสิ้นคำพูด เสียงหัวเราะของทุกคนพลันหายไปอย่างฉับพลัน
สีหน้าของฉุงโยวหมิงแข็งค้างไปแล้ว
ทุกคนมองหน้ากันและกัน ทำท่ากระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรบ้าง
การแต่งภรรยาของทางฝั่งนี้ เจ้าบ่าวจะถูกคนจากทางฝั่งเจ้าสาวสร้างเรื่องลำบากใจให้ครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยมองซองแดงให้ ถึงสามารถแต่งเจ้าสาวกลับไปได้
กลับกลายเป็นว่าคนผู้นี้พอมาถึง ไม่เพียงทำท่าทางสูงส่งเหนือผู้อื่น ถึงกับยังให้เจ้าสาวลงมาเองอย่างไร้ความอดทน?
ด้วยเหตุนี้ ในกลุ่มคนมีคนไม่ทันรู้ฐานะ เห็นว่าไม่เข้าไปเสียที จึงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“นี่เป็นกฎเกณฑ์ทางฝั่งของเรา นายต้องขึ้นไปเชิญเจ้าสาวออกมาด้วยตัวเอง”
เมื่อมีเสี่ยงที่หนึ่ง ก็มีเสียงที่สอง ที่สามตามมา
“ใช่แล้ว นายต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่นี่ของเรา!”
“ใช่ๆๆ รีบขึ้นไปเชิญเจ้าสาวมาแต่งงานสิ!”
แต่พอจีซือได้ยินเสียงเหล่านี้ สีหน้าก็เย็นชาขึ้นหลายส่วน กวาดตามองทุกคนแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “มาพูดกฎเกณฑ์กับคุณชายอย่างฉัน?”
กล่าวจบเขาก็แค่นเสียงเย็นออกมาอีก “งั้นวันนี้คุณชายอย่างฉันก็จะให้พวกแกได้รู้จัก กฎของคุณชายอย่างฉัน!”
จากนั้นก็มีคนคนหนึ่งจู่ๆ ก็แฉลบตัวมาหยุดตรงหน้าคนที่พูดคนแรกคนนั้น
เกิดเสียง “พลั่ก” ดังขึ้น คนคนนั้นโดนไปฝ่ามือหนึ่ง ทั้งยังถูกพัดลงไปอยู่กับพื้นสลบไปทันที
พอทุกคนเห็นฉากนี้เข้าต่างก็ตกใจกันหมด
พวกเขามองดูฉากนี้อย่างโง่งม เงียบจนแม้แต่เข็มตกก็ยังได้ยินไปชั่วขณะ
ฉุงโยวหมิงสีหน้าพลันมืดลง
จีซือยังคงทำท่าทางสูงส่งเหนือผู้อื่นเหมือนเดิม “เห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันมหามงคลของคุณชายอย่างฉัน จะไว้ชีวิตเขาชั่วคราว!”
“แต่นี่ไม่ได้บอกว่าความอดทนของคุณชายอย่างฉันจะไม่มีขีดจำกัด”
ได้ยินเช่นนี้ ฉุงโยวหมิงก็กำหมัดแน่น กลับไม่กล้าพูดสักประโยค
และในเวลานี้เอง ฉุงลี่ซือก็เดินออกมาโดยมีฟางหยันเดินเป็นเพื่อน
“เจ้าสาวมาแล้ว”
ไม่รู้ว่าเป็นใครตาดีมองเห็น จึงกล่าวเสียงเบาขึ้นมาหนึ่งประโยค ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงหันไปมอง
ตอนนี้ฉุงลี่ซือไม่ได้สวมชุดเจ้าสาว แต่สวมชุดราตรีแทน เดิมทีเธอก็หน้าตาสวยมากอยู่แล้ว พออยู่ในชุดราตรีก็ยิ่งขับเน้นให้สวยหยาดเยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม
ทว่าตอนนี้คนจำนวนมากล้วนไม่มีแก่ใจจะไปชื่นชมความสวยของเธอ ในดวงตาของพวกเขาต่างเผยความเสียดายในตัวเธอออกมา
ฉุงลี่ซือเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่งให้ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้ธรรมเนียมประเพณีเช่นนี้ไปทั้งแบบนี้ ช่างเป็นการหยามเกียรติกันสิ้นดี!
ดังนั้นพอเห็นเจ้าสาวมาถึง พวกเขาจึงไม่ได้ส่งเสียงโห่ร้องกันขึ้นมา แต่เงียบไม่พูดไม่จาแทน
กลับเป็นจีซือที่หลังได้เห็นฉุงลี่ซือ กลับถูกความสวยของเธอดึงดูด ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาหลายส่วน
แต่ก็เป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขาก็กลับสู่ท่าทางสูงส่งของเขาดังเดิม
ฉุงลี่ซือเดินมาหยุดตรงหน้าจีซือ เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองจีซือ ทำเพียงก้มหน้ากลั้นน้ำตาตัวเองไว้
และตอนที่เธอเดินผ่านข้างกายฉุงโยวหมิง เธอก็ไม่มองเขา สำหรับเธอแล้วพี่ชายคนนี้ ไม่ใช่พี่ชายของเธออีกแล้ว
ฉุงโยวหมิงเห็นเช่นนี้ ก็อดกำหมัดตัวเองแน่นอีกไม่ได้ เขากำลังอดทนอย่างสุดกำลัง
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนเหนือความคาดหมายก็คือ พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้ จากนั้นก็ตะโกนบอกแขกเหรื่อทุกคนว่า “วันนี้เป็นวันมหามงคล ทุกคนสนุกกันได้!”
ทว่าหลังเขากล่าวคำนี้จบ ทุกคนทำเพียงแค่มองหน้ากันอย่างเงียบๆ
สถานการณ์อย่างในตอนนี้ ใครยังจะสนุกกันได้อีก?
ทุกคนอดมองไปที่ฉุงโยวหมิงไม่ได้ ความรู้สึกในดวงตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเช่นกัน
และในเวลานี้เอง สถานที่อันเงียบสงบจู่ๆ ก็มีเสียงไม่คาดคิดเสียงหนึ่งดังขึ้น
“รอก่อน!”
ไป๋ยี่เฟยกับเหลียนยินเดินออกมาท่ามกลางฝูงคน
เพียงแต่ไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันเดินไปหยุดตรงหน้าจีซือ ก็ถูกชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวสีดำคนหนึ่งขวางไว้
“หยุดนะ!”
ไป๋ยี่เฟยยืนอยู่กับที่ เงยหน้ามองเขาแล้วถามว่า “มีอะไร?”
ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นก็คือคนที่ทำร้ายไป๋ยี่เฟยจนบาดเจ็บเมื่อคืน เขามองไป๋ยี่เฟยแล้วกล่าวว่า “เมื่อคืนเป็นนาย?”
“หา?” ไป๋ยี่เฟยมีความสงสัยเต็มใบหน้า
เวลานี้ จู่ๆ จีซือก็สอดปากถามว่า “ผู้พิทักษ์สำนักจั่ว เขาเป็นใคร?”
“บอกว่าเป็นลูกน้องของคุณชายรอง ตั้งใจมาที่นี่เพื่อคุ้มกันไปส่งคุณชายใหญ่” ต๋านีตอบเสียงเย็น
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ ก็เขยิบออกหนึ่งก้าว ยกมือคำนับจีซือแล้วกล่าวว่า “คารวะคุณชายใหญ่”
จีซือเพียงชำเลืองตามองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่งอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็พูดอย่างไม่สนใจอีก “ไปเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยจึงคิดจะตามขึ้นไป กลับกลายเป็นว่าถูกต๋านีกดบ่าข้างหนึ่งไว้
ต๋านีก้มหน้า จ้องไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาเย็นเยียบ ดวงตาคู่นั้นของเขาราวกับมีคมมีดอย่างไรอย่างนั้น มองคนจนเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือก
เขากล่าวเตือนเสียงเย็น “ไม่ว่านายเป็นคนของใคร ฉันแนะนำว่าทางที่ดีนายควรจะซื่อตรงหน่อยดีกว่า!”
“แล้วก็ ห้ามดื่มเหล้า!”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าทันที
จากนั้นคนหนานเหมินก็ทยอยกันขึ้นรถ
ไป๋ยี่เฟยเดินตามพวกเขาไปติดๆ แต่ก่อนจะขึ้นรถ เหลียนยินก็จ้องมองต๋านีอยู่ตลอด
ไป๋ยี่เฟยสังเกตเห็นแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวเสียงเบาว่า “อย่ามองเลย รีบขึ้นรถเถอะ”
จากนั้นเหลียนยินก็ยิ้มให้ไป๋ยี่เฟย ดวงตาเหลือบมองไปทางต๋านีอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้แข็งแกร่งแห่งว่าที่แดนเทพยุทธ์”
“ว่าที่แดนเทพยุทธ์?” ไป๋ยี่เฟยพลันชะงักไป
แสดงว่าต๋านียังไม่บรรลุขั้นแดนเทพยุทธ์อย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงยอดฝีมือระดับที่หนึ่งชั้นสูง
……
รถขบวนใหญ่มาถึงท่าเรือของเมืองหลวง และที่ด้านข้างท่าเรือ มีเรือสำราญหรูหราขนาดมหึมาลำหนึ่งจอดอยู่
หลังจอดรถ ทุกคนก็ทยอยกันขึ้นไปบนเรือสำราญ
หลังจากที่ขึ้นเรือ คนบนเรือสำราญขณะเดียวกันก็เป็นคนของหนานเหมินด้วย ต่างจัดห้องให้แขกทุกคน ไป๋ยี่เฟยกับเหลียนยินถูกจัดอยู่ห้องเดียวกัน
แต่ที่ทำให้ไป๋ยี่เฟยคาดไม่ถึงอยู่บ้างก็คือ ฉุงลี่ซือไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับจีซือ แต่จัดให้อยู่ที่ชั้นสองรวมกับคนของตระกูลฉุง
รอจนทุกอย่างพร้อมแล้ว เรือสำราญก็ออกเดินทาง ค่อยๆ แล่นออกจากท่าเรืออย่างช้าๆ มุ่งสู่หนานเหมิน
หนานเหมินอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก หากนั่งเรือสำราญต้องใช้เวลาประมาณสามวันกว่าจะถึง
เพื่อความรอบคอบ วันแรกไป๋ยี่เฟยจึงทำตัวดีๆ อยู่แต่ในห้อง ไม่ทำอะไรเลย
มีเพียงตอนกลางคืน เขาถึงจะเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือที่มีสายลมโชยพัด อากาศปลอดโปร่ง
และเขาก็เป็นคนเดียวที่ออกมาเช่นกัน เพราะเหลียนยินค่อนข้างชอบความสงบ
ไป๋ยี่เฟยใช้มือจับราวกั้นยืนอยู่บนแผ่นไม้กระดาน ลมทะเลพัดมาด้านหนึ่ง อดคิดถึงหลี่เสว่กับลูกขึ้นมาไม่ได้
ความรู้สึกหมื่นพันผสมปนเปอยู่ด้วยกัน ทำให้ไป๋ยี่เฟยจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเขาเพิ่งจะสูบไปครั้งหนึ่ง จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเขา “บุหรี่ของนาย ไม่ใช่บุหรี่ของหนานเหมิน”
ได้ยินเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยในใจก็ตระหนกวาบ
ต่อมาเขาก็เยือกเย็นลง หยิบบุหรี่จงหัวซองหนึ่งออกมาอย่างสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ทั้งยังยื่นมวนหนึ่งให้ต๋านี
ต๋านีใช้สองตาจ้องไป๋ยี่เฟยเขม็ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่สูบบุหรี่”
ไป๋ยี่เฟยจึงไม่พูดอะไร เพียงเก็บบุหรี่กลับไปอย่างนิ่งเฉย สูบบุหรี่ของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง หลังพ่นควันออกมาแล้ว ก็ใช้น้ำเสียงหดหู่เป็นอย่างมากพูดขึ้นว่า “นานแล้วที่ไม่ได้สูบบุหรี่ของบ้านเกิด……”
ได้ยินเช่นนี้ ต๋านีก็พลันชะงักไป มองไป๋ยี่เฟยด้วยความประหลาดใจ
ไป๋ยี่เฟยก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนเด็กมากฉันก็มาอยู่ฝั่งนี้แล้ว ติดต่อกับคุณชายรองเพียงคนเดียว”
หากเวลานี้ไป๋ยี่เฟยเผยสีหน้าท่าทางลุกลี้ลุกลนออกมา รังแต่จะมีพิรุธ ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างไม่หวั่นเกรง ถึงขั้นยังสร้างฐานะสายลับคนหนึ่งให้ตัวเองอีกด้วย