“และเพื่อให้ฐานะในเมืองหมิงเฉิง เขาก็ให้ฉันไปเอาใจผู้อาวุโสของสหพันธ์วรยุทธ”
“ทุกครั้งที่ฉันได้รับความอัปยศ ฉันก็อยากจะใช้มีดสับเขาให้เป็นพันเป็นหมื่นชิ้น”
“แต่ฉันก็ไม่กล้าจริงๆ”
“จนกระทั่งการมาถึงของคุณ” ……
คำพูดเหล่านี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยสามารถทายออกได้อย่างง่ายดายว่าเธอคนนี้ก็คือยีหยุน
แต่รวมๆ แล้ว เขากับยีหยุนนั้นไม่ได้สนิทอะไรกันเลย แค่ตอนอยู่ที่บ่อนยีหยุนได้เตือนสติเขาไปทีหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่ต่อสู้กับท่านดยุก เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่เธอมีท่านดยุก แต่เขาไม่นึกเลยว่าเรื่องราวเบื้องหลังมันจะเป็นแบบนี้
ที่แท้ความอัปยศที่ไม่อยากนึกถึงที่ยีหยุนพูดก็เป็นแบบนี้นี่เอง
แต่ไป๋ยี่เฟยก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ
เพราะเขาในตอนนี้ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดออกมาแม้แต่คำเดียว
และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พอเขานึกถึงการตายของฉุงลี่ซือ มันก็ทำให้สภาพจิตใจของเขาดำดิ่งลงไป
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาปลอบใจยีหยุนไปแล้วมันจะยังไงต่อ? นั่นมันก็เป็นอดีตที่ไม่อาจลบล้างไปได้ กลับกันมันจะยิ่งทำให้ยีหยุนรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม
และยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือเขารู้ว่าตอนนั้นคนของสหพันธ์วรยุทธได้มาถึงแล้ว
แล้วทำไมตอนนี้เขายังรอดอยู่อีกล่ะ? ……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ก็ได้มีคนดึงม่านตรงหน้าต่างออก แสงจากด้านนอกส่องโดนร่างกายของไป๋ยี่เฟยทันที
ไป๋ยี่เฟยรับรู้ได้ถึงแสงสว่างนั่น จึงได้ขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ
ในตอนนั้นเอง เสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ได้ดังขึ้น “ไอ้หยา คุณตื่นแล้วนี่!”
ไป๋ยี่เฟยเหมือนได้ถูกชม จึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
แล้วเขาก็เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเตียง อายุประมาณยี่สิบกว่าๆ เป็นผู้ชายที่ผิวค่อนข้างเข้ม
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนของหนานเหมิน
ไป๋ยี่เฟยจึงรีบถามไปว่า “นี่คุณเป็นใคร?”
“แล้วที่นี่มันเป็นที่ไหน?”
เนื่องจากไป๋ยี่เฟยได้นอนมาเป็นเวลานาน ทำให้เสียงที่พูดเปล่งออกมานั้นค่อนข้างแหบซ่าน
ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าที่ชื่นบานว่า “ว้าว อาจารย์บอกว่าความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของคุณนั้นมันสูงมาก แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ทั้งที่คุณบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังสามารถรอดมาได้ นี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ”
“อ้อ จริงด้วย คุณรอแปบนะ เดียวผมไปตามคนก่อน”
พูดจบ ชายหนุ่มก็วิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปแปบหนึ่ง แล้วก็ได้รู้ว่าตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ห้องนี้ดูแล้วใช้ได้เลย มันดูหรูมาก
พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าในห้องนี้นอกจากเขาก็ไม่มีใครคนอื่นเลย
“พรึบ!”
จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกใครบางคนเปิดออก
จากนั้น คนกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวแตกต่างก็ได้พุ่งเข้ามา แล้วล้อมเตียงเอาไว้
“ศิษย์น้อง ในที่สุดนายก็ฟื้นได้สักทีนะ! รู้สึกเป็นไงบ้าง?”
“ศิษย์น้อง นายหิวรึเปล่า อยากกินอะไร? เดี๋ยวฉันให้คนไปทำให้!”
“อาจารย์อา คุณหิวน้ำมั้ย? อยากกินน้ำรึเปล่า?”
“อาจารย์อา คุณ……”
ไป๋ยี่เฟยมองดูคนกลุ่มนี้ แล้วต้องรู้สึกงง
ศิษย์น้องอะไร? อาจารย์อาอะไร?
เขาไม่รู้จักคนพวกนี้เลยแม้แต่คนเดียวนี่!
พอเห็นท่าทางที่มึนงงของไป๋ยี่เฟย จู่ๆ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ได้ตะโกนออกมา “แย่แล้ว คงไม่ใช่ว่าสมองของศิษย์น้องจะได้รับการกระทบกระเทือนหรอกนะ?”
พอหญิงสาวคนหนึ่งที่หุ่นดีมากๆ ได้ยินแบบนั้นเข้า เธอก็ทำหน้าเห็นใจและถอนหายใจออกมา “เฮ้อ น่าเสียดายจัง ทั้งที่หล่อเหลาขนาดนี้ อายุยังน้อยแท้ๆ กลับต้องมาเอ๋อซะแล้ว!”
พอทุกคนได้ยินแบบนั้น จากสีหน้าที่ดีใจเมื่อกี้ก็ต้องจางลง
ไป๋ยี่เฟยตั้งสติได้ มองไปรอบๆ ก่อนจะถามไปว่า “พวกคุณเป็นใคร?”
พอเขาถามแบบนั้นออกไป ทุกคนต่างก็ช็อกไปตามๆ กัน
ชายวัยกลางคนก็ได้ถามต่อว่า “ศิษย์น้อง สมองของนายไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใช่มั้ย?”
“ผมไม่รู้จัก พวกคุณ” ไป๋ยี่เฟยทำหน้าระแวง
พอเห็นแบบนั้น สาวสวยก็ได้ยิ้มแป้นแล้วโบกไม้โบกมือ “ไม่มีอะไรไม่มีอะไร”
ไป๋ยี่เฟยยังทำหน้างงอยู่ พวกนี้ทุกคนต่างก็เป็นคนหนานเหมิงทั้งนั้น ที่สำคัญเขาไม่เคยเห็นหน้าคนพวกนี้มาก่อนเลย แต่คนพวกนี้กลับเรียกเขาว่าศิษย์น้อง อาจารย์อา?
และในตอนนั้นเอง ก็ได้มีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามา
ทันทีที่ไป๋ยี่เฟยได้เห็นชายชราคนนี้ เขาก็รู้สึกตกใจ ร่างชาไปทั้งตัว
ชายชราคนนี้……
คือเมิ่งหลินเหรอ?
ไป๋ยี่เฟยถามไปอย่างตื่นตกใจ “คุณตายแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
พอคนอื่นๆ เห็นชายชราคนนี้เข้า ต่างก็พากันหลีกทางให้ และยังทำความเคารพให้เขาด้วย
“อาจารย์!”
“อาจารย์ปู่!”
ชายชราพยักหน้าให้พวกเขาเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า “พวกแกออกไปกันก่อน”
“ครับ/ค่ะ!”
ทุกคนก็ค่อยๆ พากันเดินออกจากห้องไป
ไป๋ยี่เฟยที่ได้เห็นชายชราคนนี้ เขาก็รู้สึกขนลุก
แต่เพียงไม่นาน เขาก็สังเกตเห็น
เขานั้นเป็นคนที่ฝังเมิ่งหลินกับมือ ไม่มีทางที่จะยังมีชีวิตอยู่ อีกอย่างเขายังจำได้ว่าขาของเมิ่งหลินนั้นไม่ค่อยสมประกอบ แต่คนที่อยู่ตรงหน้านั้นปกติดี
เขาแค่มีหน้าตาที่เหมือนกับเมิ่งหลินเท่านั้น
ชายชราค่อยๆ พูดออกมาว่า “ในเมื่อเธอเป็นลูกศิษย์ของเมิ่งหลิน งั้นแกก็ควรเรียกเธอว่าคุณลุง”
แล้วไป๋ยี่เฟยก็ได้เข้าใจในทันที ที่แท้พวกเขาก็คือฝาแฝดนี่เอง!
แต่ว่า……
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นลูกศิษย์ของเมิ่งหลิน?”
ชายชราสองมือไขว้หลัง ถึงแม้จะยืนได้แข็งแรงมาก แต่พอมองดูเขาก็ยังหลังค่อมนิดหน่อย เขาค่อยๆ พูดออกมาว่า “เขาตายแล้ว ใช่มั้ย?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
แล้วชายชราก็ได้ถอนหายใจออกมา และยิ้มอย่างขมขื่น “งั้นมันก็ถูกแล้ว”
แต่ไป๋ยี่เฟยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ชายชราจึงพูดต่อว่า “ฉันชื่อเมิ่งเซิน เป็นพี่ใหญ่ของเมิ่งหลิน”
“เขาคนนี้น่ะ ในหัวมีแต่เรื่องวรยุทธ ด้วยเหตุนี้ ทั้งชีวิตจึงไม่เคยแต่งงานมีลูกเลย”
“ฉันเคยบอกเขา ว่าการที่เขาเป็นแบบนี้ เกิดเขาตายไปก็จะไม่มีผู้สืบทอด แล้วการฝึกฝนอย่างยากลำบากที่ผ่านมานั้นมันจะมีความหมายอะไรอีก?”
“เขาบอกฉันว่า ก่อนที่เขาจะตายเขาจะรับลูกศิษย์สักคน แล้วถ่ายทอดทุกอย่างที่เขาได้ฝึกมาทั้งชีวิตให้ศิษย์คนสุดท้ายไป”
“เขายังพูดอีกว่า ถ้าเขาตายแล้ว ฉันก็จะได้รู้ว่าลูกศิษย์ของเขาคือใคร”
ทันทีที่ไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้น ในใจก็เกิดความซาบซึ้งขึ้นมาทันที
ไป๋ยี่เฟยนั้นไม่รู้เลยว่าเมิ่งหลินนั้นได้ตั้งใจที่จะถ่ายทอดทุกอย่างที่เขาฝึกมาให้กับตัวเองไว้ก่อนแล้ว
ในเวลาเดียวกัน เมิ่งเซินก็ได้พูดต่อว่า “เมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนที่เขาเพิ่งบรรลุถึงขั้นแดนเทพยุทธ์ใหม่ๆ ก็ได้เข้าร่วมกับสหพันธ์วรยุทธ แล้วพาคนไปที่แผ่นดินใหญ่ภาคเหนือ เพื่อทำสงครามครั้งใหญ่กับคนฝั่งเธอ”
“ศึกในครั้งนั้นเขาก็ถูกจื่ออีหักขาไปข้างหนึ่ง สำหรับเขาแล้วมันเป็นความอัปยศ”
“เขาฝังใจกับเรื่องนั้นตลอด เคียดแค้นมากว่ายี่สิบปี”
“แล้วก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาได้รู้ที่อยู่ของจื่ออีแล้ว และคิดว่าตัวเองจะได้สู้กับจื่ออีอีกครั้ง โดยที่ไม่สนการเกลี้ยกล่อมของฉัน เขาก็มุ่งมั่นที่ไปหาจื่ออีจนได้”