ท่านดยุกทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดไม่จา
ไป๋ยี่เฟยจึงได้พูดไปว่า “เพราะแกเดินเองไม่ได้ คนที่คอยพยุงแกก็ได้ตายไปแล้ว แกจึงทำได้แค่ยืนอยู่กับที่เท่านั้น”
“ตอนที่แกเห็นฉันเดินผ่านไป ถึงหน้าแกจะยังนิ่งเฉย ความจริงแล้วแกนั้นกำลังรอให้ฉันเดินเข้าไปในระยะโจมตีของแกอยู่ แต่ฉันก็ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้แก ฉันแค่เดินอ้อมแกไปเท่านั้น”
“ถึงแกอยากฆ่าฉัน แต่เพราะแกขยับไม่ได้ และฉันก็ไม่ได้อยู่ในระยะโจมตีของแก ดังนั้นแกเลยโจมตีใส่ฉันไม่ได้”
“ส่วนเรื่องที่แกพูดก่อนหน้านั้น ก็แค่ต้องการยั่วยุฉันกับยีหยุน ให้เราเข้าไปโจมตีแกด้วยตนเองเท่านั้น”
“แบบนี้แกถึงจะสามารถฆ่าเราโดยที่ยังยืนอยู่ที่เดิมได้”
คำพูดเหล่านี้ของไป๋ยี่เฟยทำให้สีหน้าของท่านดยุกดูร้อนรนขึ้นมา เขาชี้หน้าไป๋ยี่เฟยด้วยความโมโห “พูดจาเหลวไหล!”
“คุณเห็นรึยัง? เขาร้อนรนแล้ว” ไป๋ยี่เฟยหันไปพูดกับยีหยุน “แต่ว่า ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็ยังไม่บุกเข้ามา นั่นก็แสดงว่าสิ่งที่ผมพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด”
ยีหยุนอึ้งไปพักหนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ ในแววตาของเธอดูจะมีความหวังขึ้นมา เธอเอามือยันกำแพง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความแน่วแน่ขึ้น “แล้วเราจะฆ่าเขาได้ยังไง?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินแบบนั้นก็ถามเธอด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อคุณกล้าเปิดเผยว่าตัวเองต้องการต่อต้านท่านดยุกแล้ว ผมว่าคุณก็คงจะคิดหาวิธีหนีไว้แล้วใช่มั้ย?” พอถูกถามมาแบบนั้น ยีหยุนก็อึ้งไปทันที
ยีหยุนจ้องหน้าไป๋ยี่เฟย จากนั้นก็พยักหน้า เธอพูดขึ้นว่า “หลังจากเขาตาย ฉันก็สามารถขึ้นไปแทนที่เขาได้” แต่สิ่งที่เธอไม่ได้พูดออกมาก็คือ ถ้าท่านดยุกไม่ตาย เธอจะไม่ตาย
พอท่านดยุกได้ยินแบบนั้น ก็ต้องหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า………ยีหยุนเอ๋ยยีหยุน นี่เธอไร้เดียงสาเกินไปมั้ย? ต่อให้ฉันไม่ขยับ ด้วยฝีมือของพวกเธอจะสามารถฆ่าฉันได้จริงๆ เหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม “ได้!”
หลังจากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็พูดกับยีหยุนว่า “ผมต้องการเครื่องบินหนึ่งลำ”
“ตกลง!” ยีหยุนรู้สึกตกใจก่อนจะพยักหน้าไป
ถ้าไป๋ยี่เฟยกล้าพูดมาแบบนั้น แสดงว่าเขาต้องมั่นใจว่าจะสามารถฆ่าท่านดยุคได้แน่ ทันทีที่ท่านดยุกตาย เธอก็สามารถขึ้นยึดตำแหน่งได้ ก็ต้องสามารถจัดหาเครื่องบินให้เขาได้อยู่แล้ว
ไป๋ยี่เฟยพูดต่อ “ผมยังต้องการนักบินมืออาชีพกับเส้นทางการบินที่สามารถบินกลับประเทศได้”
“ไม่มีปัญหา” ยีหยุนพยักหน้า
ระหว่างที่กำลังตกลงกันอยู่นั้น ทั้งคู่แทบไม่ได้สนใจท่านดยุกเลย เหมือนมั่นใจแล้วว่าท่านดยุกต้องถูกพวกเขาฆ่าแน่
แน่นอนว่าท่านดยุกต้องโมโหอยู่แล้ว โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไง “คิดว่าด้วยฝีมือของพวกแกสองคนจะสามารถฆ่าฉันได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”
“ต่อให้ฉันยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับ พวกแกก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันอยู่ดี”
เมื่อระดับยิ่งสูงขึ้น ความห่างชั้นในแต่ละขั้นก็จะเพิ่มตามไปด้วย
ท่านดยุกนั้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นสูง ส่วนพวกเขาสองคนเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลาง
แต่พวกเขาสองคนกลับคิดว่าจะสามารถฆ่าเขาได้ ถึงขั้นมาเจรจากันต่อหน้าเขา ท่านดยุกเลยคิดว่ามันช่างน่าขันสิ้นดี
แต่หัวเราะไปหัวเราะมา สีหน้าของเขาก็ต้องแข็งเกร็งไป
เพราะไป๋ยี่เฟยได้ลวงเอาระเบิดออกมาถุงหนึ่งจากในอกเสื้อของเขา
พอยีหยุนได้เห็นก็ทำหน้าตกใจ จนหน้าซีด
ท่านดยุกไม่อาจรักษาท่าทางที่เรียบเฉยของเขาได้อีกแล้ว เขามองไป๋ยี่เฟยด้วยความแตกตื่น “นี่แกคิดจะทำอะไร?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจท่านดยุก แต่กลับหันไปพูดกับยีหยุนแทน “เตรียมการได้แล้ว”
ระเบิดพวกนี้หมีฉาเป็นคนจัดหาให้เขาเองตอนนั้นก็ตั้งใจแค่ไปวางระเบิดใส่ที่สำนักหลิ่วเหมินก็พอ เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาอยู่ที่เมืองหมังเฉิง
ด้วยความที่ระเบิดที่หมีฉาส่งมาให้มันเยอะมาก เขาคิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้ เลยพกติดตัวมาด้วยถุงหนึ่ง
มาตอนนี้แล้วมันก็มีประโยชน์จริงๆ ด้วย
ท่านดยุกพูดเตือนไป๋ยี่เฟยด้วยความร้อนรน “หยุดเลยนะแก! ความสัมพันธ์ของฉันกับประมุขของสหพันธ์วรยุทธนั้นไม่ธรรมดานะ ถ้าแกฆ่าฉันไป ประมุขไม่มีทางปล่อยแกไปแน่ แกจะต้องถูกประมุขกับคนของสหพันธ์วรยุทธตามฆ่าตลอดไป!”
ไป๋ยี่เฟยมองเขาด้วยสายตาที่เยาะเย้ย “ลูกชายสองคนของเขาก็ถูกฉันฆ่า ต่อให้ไม่มีแก ฉันยังต้องถูกตามฆ่าอยู่ดี ดังนั้น ฉันเลยไม่สนใจเลยสักนิด”
“นี่แก!” ท่านดยุกเบิ่งตาโตด้วยความใจหาย
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจท่านดยุก แต่เขานั้นเริ่มจัดการติดตั้งระเบิดแทน และเขาก็ยังไม่ลืมที่จะรักษาระยะกับท่านดยุกอยู่ตลอด
พอติดตั้งเสร็จ ไป๋ยี่เฟยก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดกับท่านดยุกด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่เข้ามาฉันก็ได้พูดเอาไว้แล้วว่า ฉันมาเพื่อเอาชีวิต!”
หลังจากไป๋ยี่เฟยจุดชนวนระเบิดแล้ว เขากับยีหยุนก็ได้เดินออกจากอาคารไป
ท่านดยุกมองดูเส้นชนวนที่กำลังส่งเสียง “ซื่อซื่อ” ในใจก็รู้สึกร้อนรนมาก เขามองซ้ายมองขวา อยากหายอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีอะไรเลย
ข้างนอกอาคาร ยังมีลูกน้องของสำนักยี่เหมิงอีกมาก พวกเขาต่างก็มีอาวุธครบมือ และได้เข้ามาล้อมไป๋ยี่เฟยเอาไว้
แต่พอเห็นว่าเขาเดินออกมาพร้อมกับยีหยุนนั้น ทุกคนต่างก็อึ้งกันไปเลย
ยีหยุนมองไปที่ทุกคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ท่านดยุกตายแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในสำนักยี่เหมิงคำพูดของฉันถือเป็นคำขาด ถ้ามีใครที่ไม่พอใจก็สามารถออกมาท้าประลองกับฉันตอนนี้ได้เลย”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถึงแม้จากที่ตาเห็นจะไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ก็ไม่มีใครก้าวออกมาคัดค้านเลย
พอเห็นแบบนั้น ยีหยุนจึงได้หันไปพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมเครื่องบินให้คุณทันทีเลย”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
พอคิดว่าอีกเดี๋ยวเขาก็สามารถกลับเมืองเทียนเป่ย จะได้กลับไปหาภรรยากับลูกๆ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
แม้แต่มุมปากก็ยังค่อยไแย้มขึ้น
แต่จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เชี่ย!”
“นี่ฉันลืมเธอไปได้ยังไงเนี่ย?”
ทันทีที่พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็หมุนตัวแล้วจะวิ่งกลับเข้าไปในอาคารทันที
ยีหยุนตกใจกับสิ่งที่เห็น ฉันต้องเตือนเขาว่า “ข้างในนั้น……”
แต่ว่า ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น
“ตู้ม!”
ทันใดนั้น ก็ได้มีฝุ่นควันลอยฟุ้งออกมาจากในอาคารของสำนักยี่เหมิง พวกเขาที่ยืนอยู่ข้างนอกยังสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
ทุกๆ คนต่างพากันร้อนรน อาคารที่เสียงสมดุลกำลังโคลงเคลง
ยีหยุนอยากเข้าไปห้ามเขา แต่เธอนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากรีบก้าวเท้าเกินไปจนเธอเสียหลักล้มลงกับพื้น
……
ไป๋ยี่เฟยได้วิ่งเข้าไปในอาคารแล้ว และในก็อบอวลไปด้วยกลิ่นควันของดินปืนที่ระเบิดไปแล้ว ก้อนอิฐบนคานก็กำลังร่วงหล่นลงมา
ไป๋ยี่เฟยไม่มีเวลามาสนใจอะไรพวกนั้น เขาพุ่งตรงไปยังลานด้านหน้าด้วยความเร็วสูงสุด วิ่งผ่านโถงทางเดินยาวนั้นพอมาถึงลานด้านหน้า เขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “ฉุงลี่ซือ!”
ความจริงเขาไม่ได้สนใจฉุงลี่ซืออะไรขนาดนั้น เขาแค่ไม่ให้เธอมาตายเพราะความสะเพร่าของตัวเองเท่านั้น ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่นอน
อีกอย่าง เรื่องบุญคุณความแค้นของเขากับตระกูลฉุงก็เป็นแค่กับคนอื่นๆ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉุงลี่ซือเลยแม้แต่นิดเดียว
และครั้งนี้การที่ฉุงลี่ซือต้องลำบากแบบ สาเหตุมันก็เป็นเพราะเขา
“ช่วยด้วย!”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้น
ไป๋ยี่เฟยรีบวิ่งเข้าไป แล้วก็ได้เห็นในจุดที่ราวถล่มไปแล้วส่วนหนึ่ง ฉุงลี่ซือกำลังถูกก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตกลงมาจากด้านทับร่างอยู่
พอได้เห็นเธอ ไป๋ยี่เฟยก็รีบวิ่งเข้าไป ใช้แรงยกหินก้อนนั้นออก จากนั้นก็ดึงฉุงลี่ซือขึ้นมา
เนื่องจากควบคุมแรงได้ไม่ดีพอ พอฉุงลี่ซือลุกขึ้น เธอก็เสียหลักล้มไปทางเขา หลังจากโซเซไปแปบหนึ่ง ไป๋ยี่เฟยก็ได้ล้มไปทางด้านหลัง
ฉุงลี่ซือเองก็ล้มตามลงไป ทับอยู่บนตัวของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยได้กอดเธอไว้โดยอัตโนมัติ
เขาเอามือโอบเอวที่เรียวบางของฉุงลี่ซือไว้ แล้วความรู้สึกที่ไม่ปกติก็เกิดขึ้นในใจ
แต่ดูเหมือนว่าฉุงลี่ซือจะไม่ทันสังเกตถึงมัน เธอแค่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเท่านั้น
ไป๋ยี่เฟยเองก็อึ้งไปพักหนึ่งกว่าจะตั้งสติได้
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ากำแพงข้างๆ กำลังจะพังลงมาแล้ว ไป๋ยี่เฟยไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากมาย พาฉุงลี่ซือกลิ้งออกมาจากตรงนั้นทันที
สุดท้ายเขาก็ทับฉุงลี่ซือไว้ด้านล่าง
การกระทำในครั้งนี้ทำให้ฉุงลี่ซือต้องตกใจจนร้องออกมา
“อ้า!”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ร้องออกมาอีกครั้ง เสียง “โครม!” ก็ดังขึ้น กำแพงที่อยู่ข้างๆ ได้ล้มลงมาทันที