ไป๋ยี่เฟยถามซูต้าหลิวเสียงต่ำ “ตอนนี้ฟ้าสว่างหรือมืด?”
ใบหน้าของซูต้าหลิวเต็มไปด้วยความงุนงง “ตอนนี้คือช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ฟ้าก็ต้องมืดเป็นธรรมดาอยู่แล้วสิครับ”
ไป๋ยี่เฟยสูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที แม่งวุ่นวายไปครึ่งวันสุดท้ายตัวเขาเองที่มีปัญหา!
จากนั้นไป๋ยี่เฟยจึงพูดอีกว่า “ไปเปิดประตู!”
ซูต้าหลิวหยิบกุญแจก่อนจะรีบไปเปิดประตูห้องที่ขังบอดี้การ์ดคนดังกล่าวไว้
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยเข้าไปแล้ว พบว่าบอดี้การ์ดกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา เขากำลังมุ่งหน้าเดินเข้าไปหางตาเห็นว่าซูต้าหลิวกำลังจะเปิดไฟ เขาจึงรีบพูดห้าม “อย่าเปิดไฟ”
ซูต้าหลิวตกใจสะดุ้ง ก่อนจะชักมือกลับมา
ไป๋ยี่เฟยเดินไปถึงตรงหน้าบอดี้การ์ดก่อนจะกระชากปกเสื้อเขา แล้วรวดฝ่ามือตบลงบนใบหน้าเขาทีนึง
“เพี๊ยะ!”
บอดี้การ์ดตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บ มองดูไป๋ยี่เฟยที่อยู่ตรงหน้าตัวเองจึงหวาดผงาขึ้นมาอย่างกะทันหัน “แก…..แกจะทำอะไร?”
ไป๋ยี่เฟยตะคอกถามเสียงดัง “แกหลอกฉัน?”
“เปล่า ฉันเปล่า ฉันเปล่า…..” บอดี้การ์ดรีบส่ายหน้าก่อนจะรีบอธิบายว่า”ฉันไม่รู้เบื้องหลังที่แท้จริงของตระกูลหวังจริงๆ ฉันโดนคนอื่นข่มขู่ด้วยชีวิตถึงได้เข้าร่วมตระกูลหวัง”
“คุณชายหวังเจียจุ้นแห่งตระกูลหวังพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ฝู้เจียงจริงๆ ฉันบอกทุกอย่างให้แกแล้วฉันไม่ได้หลอกแก”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างโกรธ “เมืองเทียนเป่ยไม่มีคฤหาสน์ฝู้เจียง!”
“ไม่มีทาง!” บอดี้การ์ดรีบโต้แย้ง “คฤหาสน์ฝู้เจียงอยู่ที่…..”
“ยังไม่พูดความจริงอีกใช่มั้ย?”
“เพี๊ยะ!”
ไป๋ยี่เฟยฟาดฝ่ามือตบลงบนใบหน้าบอดี้การ์ดอีกครั้ง
อีกอย่างครั้งนี้หลังจากที่เขาตบเสร็จ เขาไม่ได้หยุดลงเลย แต่เป็นการเก็บแรงตัวเองแล้วตบหน้าบอดี้การ์ดติดต่อกันอยู่หลายนาที
และบอดี้การ์ดคนดังกล่าวถูกตบจนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น และร้องโอดครวญไปด้วย “ฉันไม่ได้หลอกแกที่ฉันพูดออกไปทั้งหมดเป็นความจริงทั้งนั้น หยุดตีได้แล้ว…..ฉันสาบานเลยว่าฉันไม่ได้โกหกแกจริงๆ ทั้งหมดที่ฉันรู้ก็มีแค่นี้เอง…..”ซูต้าหลิวมองดูไป๋ยี่เฟยที่ต่อยตีบอดี้การ์ด เขาก็ตกใจกลัวจนแขนขาสั่นเทา
และหลังจากที่ผ่านไปไม่กี่นาที ไป๋ยี่เฟยก็ได้นั่งลงกะทันหัน
ณ ตอนนี้วินาทีนี้เขาเชื่อแล้วว่าบอดี้การ์ดไม่ได้พูดโกหก
เพราะว่าสิ่งที่เห็นในสายตาของเขาตอนนี้ไม่ใช่ช่วงกลางวัน แต่กลายเป็นกลางคืนแล้ว
แต่เหตุการณ์นี้มันอะไรยังไงกันแน่?
เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์ฝู้เจียงหรอ? ถ้าเกิดมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ แล้วทำไมภายในคฤหาสน์ถึงไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว?
คำถามพวกนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงคนคนนึงขึ้นมาทันที “ซาเฟยหยาง! ซาเฟยหยางต้องรู้แน่นอนว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
จากนั้นไป๋ยี่เฟยจึงไม่ได้สนใจบอดี้การ์ดต่อ ก่อนจะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่อยู่ของซาเฟยหยางอย่างเร่งรีบ
ยืนอยู่หน้าประตู ไป๋ยี่เฟยเคาะประตูอยู่นานมากซาเฟยหยางถึงจะตื่นขึ้นมาเปิดประตูให้เขา
ทันทีที่เปิดประตูออก ไป๋ยี่เฟยก็ได้กลิ่นเหล้าที่ฉุนกระจายไปทั่วห้องแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปคิดเรื่องพวกนั้นแล้วและเข้าไปในห้องโดยตรง
แต่ทว่าหลังจากที่ไป๋ยี่เฟยเข้าไปถึงภายในห้องแล้ว เห็นว่าซาเฟยหยางกำลังเปิดไฟอยู่ในใจเขาก็มีเสียงกรึกดังขึ้น
ไป๋ยี่เฟยทำได้แค่พูดอย่างร้อนรนว่า “นายซาตายของผมมีปัญหา”
“ปัญหาอะไร?”
จากนั้นไป๋ยี่เฟยจึงนำเรื่องราวทั้งหมดที่เขาประสบพบเจอในคืนนี้บอกเล่าให้ซาเฟยหยางฟัง
หลังจากที่ซาเฟยหยางได้ยินแบบนี้แล้ว ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความตะลึง
และไป๋ยี่เฟยหลังจากที่เห็นสีหน้าที่ตะลึงของซาเฟยหยางแล้วจิตใจเขาก็วูบลง แม้แต่เขายังรู้สึกตะลึง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาก็น่าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วพลางถาม “แม้แต่คุณก็ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยหรอครับ?”
“ไม่เคยเลย” ซาเฟยหยางส่ายหน้า
ไป๋ยี่เฟยหมดหนทางทำได้ค่าออกจากที่นี่ เขานั่งอยู่บนรถและคิดเรื่องนี้อยู่นานมาก ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือช่วยชีวิตหลงหลิงหลิง
จากนั้นเขาจึงขับรถกลับไปยังคฤหาสน์ฝู้เจียงอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ได้รีบลงจากรถแต่อย่างใด แต่เป็นการสำรวจอยู่บนรถไปสักพัก
ตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นทั้งหมดล้วนเป็นเหมือนตอนกลางวัน ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างจ้าเขาสามารถมองเห็นทุกจุดได้อย่างชัดเจนมาก
แล้วเขาก็เห็นสิ่งผิดปกติ
มียันต์แปลกๆวาดอยู่บนกำแพงของคฤหาสน์ด้วยงั้นหรอ แต่ทว่าสีของยันต์และสีของกำแพงคล้ายคลึงกันมาก ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเท่านั้นเอง
นอกจากภาพยันต์แล้วยังมีรูปประตูวาดอยู่ด้วยบานนึง
ถ้าเกิดมาที่นี่ในช่วงกลางคืน จะไม่สามารถสังเกตเห็นสิ่งพวกนั้นได้แน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน สายตาของไป๋ยี่เฟยในตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวัน
จากนั้นเขาจึงลงมาจากรถเพื่อเดินไปยังข้างๆกำแพง สังเกตรูปยันต์ที่อยู่บนกำแพงอย่างละเอียด
แต่เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้แต่อย่างใด ไม่ว่าจะดูยังไงก็ดูไม่ออก เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อถ่ายรูปไว้
แต่ทว่าสิ่งที่มีปัญหาคือร่างกายของเขา เพราะฉะนั้นภายใต้สถานการณ์ที่มืดมน ถึงแม้จะเปิดแฟลชโทรศัพท์ ภาพที่ถ่ายออกมาก็ไม่ค่อยชัดเจนอยู่ดี
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกมหัศจรรย์มาก ดูจากภาพถ่ายในโทรศัพท์ เขาสามารถมองเห็นได้ว่าบริเวณที่ควรจะมืดก็มืดเหมือนเดิมอยู่ดี
แต่ถ้ามองจากสายตาของเขาแล้ว บนท้องฟ้ายังคงมีพระอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาลอยอยู่มากไปกว่านั้นยังมีร่องรอยของการเคลื่อนที่ของพระอาทิตย์อีกด้วย
ไป๋ยี่เฟยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วลง ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ล่ะก็มันก็แสดงว่าเขาไม่มีทางมองช่วงกลางคืนเป็นช่วงกลางวันไปตลอด แต่แค่ช่วงกลางคืนในสายตาของคนอื่นกลายเป็นช่วงกลางวันในสายตาของเขาแทนเท่านั้นเอง
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าช่วงกลางวันในสายตาของคนอื่น ก็จะกลายเป็นช่วงกลางคืนในสายตาของเขาใช่ไหม?
ถัดจากนั้น ไป๋ยี่เฟยจึงมองไปทางรูปประตูที่อยู่บนกำแพง
ตอนแรกเขาแค่อยากเข้าไปสัมผัสดูเท่านั้น สรุปทันทีที่เข้าไปแตะต้อง เขาก็ได้ยินเสียงที่ประตูถูกเปิดออก
และประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกจริงๆ
ไป๋ยี่เฟยดึงมือกลับมาภายในพริบตา รู้สึกตะลึงต่อภาพที่เห็นตรงหน้า
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงดังเสียงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
คฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าขยับตัวเองงั้นหรอ กำแพงในตอนแรกกลายเป็นประตูและก่อนหน้านี้ประตูทางเข้าที่เขาเดินเข้ามาในตัวคฤหาสน์แห่งนี้ กลับกลายเป็นกำแพงไปแล้ว
และพวกยันต์ที่วาดอยู่บนกำแพง ก็กลายเป็นโคลงคู่แบบจีน ติดอยู่ข้างๆของประตูอย่างเป็นระเบียบ
และตอนนี้ประตูก็เริ่มค่อยๆเปิดออก
“โฮ้งๆๆ……”
และในตอนนี้เอง มีเสียงหมาเห่าดังออกมาจากประตู
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึง ครั้งก่อนตอนที่เขาเข้าไปด้านในเงียบสงบมาก ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้กลับมีเสียงเห่าของหมา นี่จึงทำให้เขานึกถึงค่ายมายาในคลังเก็บทองที่สามทันที
ทางเข้าออกของคลังเก็บทองถูกค่ายมายาบดบังไว้ เป็นคาถาวิชาที่บังตา
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทุกอย่างที่เขาเห็นในก่อนหน้านี้ เป็นคาถาบังตาทั้งหมดเลย สรุปแล้วครั้งก่อนเขาไม่ได้เข้าไปในคฤหาสน์เลยด้วยซ้ำ?
แต่ทำไมเขาถึงมีอาการมองช่วงกลางคืนเป็นช่วงกลางวันได้หละ?
ปริศนาที่อยู่ในใจของไป๋ยี่เฟยยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ ถ้าอยากจะไขปริศนาออกก็ต้องเข้าไปเสาะหาคำตอบอย่างเดียวแล้ว
ดังนั้นเขาจึงผลักประตูเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นเอง เสียงที่ฟังดูแก่ชราเสียงนึงก็ได้ดังขึ้นมา “ไอ้ด่าง เงียบๆหน่อย!”
ไป๋ยี่เฟยมองไปทางต้นตอของเสียง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไม่ไกลจากประตู มีหมายักษ์สองตัวกำลังยืนอยู่ แล้วหมายักษ์สองตัวนั้นกำลังเห่ามาทางเขาอย่างไม่หยุดหย่อน และชายชราที่ผมขาวเทาคนหนึ่งกำลังใช้ไฟฉายส่องมาทางหมายักษ์
ถัดจากนั้นเขาก็ได้นำไฟฉายสาดส่องมาทางประตู ไป๋ยี่เฟยปรากฏตัวอยู่ภายใต้แสงไฟฉายอย่างกะทันหัน หลังจากที่ชายชราเห็นเขาแล้ว ก็ผงะไปสักพักอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่ชายชราจะพูดตักเตือน “หัวขโมยที่ไหน? ถ้าจะขโมยของก็รีบเปลี่ยนเป้าหมายซะนะ ไม่งั้นชีวิตแกอาจจะจบอยู่ที่นี่ก็ได้”
ไป๋ยี่เฟยมองดูคฤหาสน์หลังนี้ แตกต่างกับคฤหาสน์ที่เขาเข้าไปในก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง นี่คือคฤหาสน์หลังเล็กๆหลังนึง ไม่มีลานบ้าน และไม่มีบ่อน้ำศาลาอะไรด้วย ดูธรรมดาทั่วไปมากและด้านนอกมีรถแข่งหรูจอดเทียบอยู่สองคัน
และตรงหน้าก็เป็นแค่คฤหาสน์ที่มีทั้งหมดห้าชั้น ไม่มีตึกเล็กๆหลายตึกแต่อย่างใด
และนั่นก็หมายความว่านี่ถึงจะเป็นคฤหาสน์ที่แท้จริง เขาถึงว่าทำไมเขาไม่เคยเห็นว่ามีคฤหาสน์อยู่ในเมืองเทียนเป่ยมาก่อน
ไป๋ยี่เฟยรีบถามชายชรา “ค่ายมายาที่อยู่ด้านนอกมันคือยังไงกันครับ?”
ชายชราชะงักไปสักพักหลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ก่อนจะใช้ไฟฉายส่องมาทางไป๋ยี่เฟย ผ่านไปสักพัก ชายชราก็เข้าใจขึ้นมาได้ “ผู้ฝึกวรยุทธระดับหนึ่งชั้นกลาง มิน่าล่ะถึงกล้ามาที่นี่ในช่วงดึกๆดื่นๆแบบนี้”
ไป๋ยี่เฟยถามอย่างไม่เข้าใจ ”คุณหมายความว่ายังไงครับ?”