หลงหลิงหลิงตกใจเล็กน้อย แววตาจึงไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง “ไม่……ใคร”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเธอไม่พูด
หลงหลิงหลิงถูกมองจนศีรษะก้มต่ำ ได้แต่ตอบเสียงค่อยว่า “เป็นคนของเฟิงหั่วกรุ๊ปค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยชะงักเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทนี้มาก่อน
หลงหลิงหลิงเห็นเช่นนี้ก็รีบอธิบายทันที “เฟิงหั่วกรุ๊ปเป็นบริษัทหนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวในระยะนี้ ผู้กุมอำนาจคือตระกูลหวังแห่งมณฑลเป่ยไห่”
“ตระกูลหวัง?” ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลงหลิงหลิงพยักหน้า กล่าวอีกว่า “ตระกูลหวังนี้เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน เมื่อไม่กี่เดือนก่อนจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมากะทันหัน พวกเขาทำการรวบรวมธุรกิจเล็กๆ มากมายของมณฑลเป่ยไห่ ก่อตั้งเฟิงหั่วกรุ๊ปขึ้นมา”
“ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขาได้ทำสงครามการค้ากับเย่ซื่อกรุ๊ปครั้งหนึ่ง ทำให้เย่ซื่อกรุ๊ปพ่ายแพ้”
“แล้วก็ยังมีอีก ธุรกิจทางการแพทย์กับธุรกิจอาหารที่เมื่อก่อนเคยร่วมงานกับเราถูกเฟิงหั่วกรุ๊ปกว้านซื้อไปหมดแล้ว เขาจึงกลายเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของบริษัทเรา”
ไป๋ยี่เฟยคิ้วขมวดลึกขึ้นกว่าเดิม พึงรู้ไว้ว่าเย่ซื่อกรุ๊ปคือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ อีกทั้งเย่ฮวนยังมีสิทธิขุดเหมืองแร่ทองคำหลายแห่งในหลันเต่า เงินทุนย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่พวกเขายังคงพ่ายแพ้ให้กับตระกูลหวังที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมากะทันหันนี้?
อย่างนี้ก็แสดงว่า ตระกูลหวังนี้ไม่ธรรมดา
หลังไป๋ยี่เฟยใคร่ครวญครั้งหนึ่งก็ถามอีกว่า “มีเรื่องอะไรที่ภัตตาคารหมิงย่าน?”
หลงหลิงหลิงใบหน้าเล็กแดงวาบ ลังเลอยู่เล็กน้อยยังคงกล่าวว่า “คือ……คุณชายคนหนึ่งของตระกูลหวัง รับผิดชอบโครงการทางการแพทย์ของเมืองเทียนเป่ย เขา……”
“เขากำลังตามจีบคุณอยู่?” ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาตรงๆ
หลงหลิงหลิงนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า
แล้วเธอก็รีบเอ่ยขึ้นทันทีอีกว่า “ประธานไป๋วางใจ ฉันไม่มีทางไปแน่!”
ไป๋ยี่เฟยกลับสงสัยเป็นอย่างมาก “เพราะอะไร?”
“หา?” หลงหลิงหลิงแปลกใจอยู่พักหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยจึงกล่าวขึ้นว่า “แน่นอนว่าต้องไป”
หลงหลิงหลิงลังเลเป็นอย่างมาก “แต่……”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มกล่าวว่า “คุณวางใจ ผมจะไปด้วยกันกับคุณ ทำความรู้จักกับคุณชายใหญ่ของตระกูลหวังผู้นี้”
“ค่ะ”
เมื่อพูดเรื่องนี้เสร็จ สายตาไป๋ยี่เฟยก็มองไปด้านข้าง กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ”
“เรื่องอะไรคะ?” หลงหลิงหลิงถูกท่าทางที่ไป๋ยี่เฟยแสดงออกมาในเวลานี้ทำให้ตกใจ
นี่ทำให้เธอคิดถึงไป๋ยี่เฟยในอดีตขึ้นมา
ตอนที่เพิ่งพบกับไป๋ยี่เฟย เธอนึกเพียงว่าเขาเป็นลูกท่านหลานเธอของตระกูลเศรษฐีคนหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างที่พวกเขาประสบพบเจอ ทำให้ภาพจำที่เธอมีต่อไป๋ยี่เฟยเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
จนถึงตอนนี้ เธอรู้สึกว่าไป๋ยี่เฟยที่อยู่ตรงหน้านี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่คุ้นเคย ขณะเดียวกันก็ยังเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาสายหนึ่ง
……
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง หวังโหลวก็มาถึง
ไป๋ยี่เฟยไม่กีดกันยีหยุน พวกเขาพูดคุยธุระอยู่ในห้องทำงานด้วยกัน
ไป๋ยี่เฟยกล่าวว่า “ภายในหนึ่งสัปดาห์ผมต้องการให้คุณสืบทรัพย์สินทั้งหมดของสหพันธ์วรยุทธแห่งหนานเหมินให้ชัดเจน”
“จากนั้นก็ต้องโทษที่พวกเขาทำการค้าทางฝั่งพวกเรา”
“ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนกรุ๊ปใดภายในประเทศ หากพวกเขาไม่อยากร่วมมือ เช่นนั้นก็ตัดขาดการค้าที่เชื่อมต่อกับพวกเขาออกจากกัน”
“หากเป็นการค้าที่สำคัญ ก็พยายามซื้อมันมาให้ได้”
“สรุปก็คือจะต้องขัดขวางการค้าทั้งหมดของสหพันธ์วรยุทธแห่งหนานเหมิน”
“หลังจากนั้นฉันจะติดต่อสี่ตระกูลใหญ่ ร่วมกันรับมือกับศัตรูภายนอก”
พอไป๋ยี่เฟยกล่าวจบ หวังโหลวกับหลงหลิงหลิงต่างตะลึงงันไปแล้ว
พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดพอไป๋ยี่เฟยกลับมาถึงกับต้องทำเรื่องใหญ่เช่นนี้
หลังหวังโหลวได้สติคืนมาก็รีบเอ่ยเตือนว่า “หนานเหมินไม่ใช่ประเทศหนึ่งหรอกเหรอ อีกทั้งกำลังของสหพันธ์วรยุทธก็มากพอที่จะเทียบเคียงกับสี่ตระกูลใหญ่ การทำการค้าของพวกเขาครอบคลุมทั่วทั้งประเทศของหนานเหมิน”
หลงหลิงหลิงเองก็กล่าวสำทับว่า “ใช่ แล้วก็ยังมีเฟิงหั่วกรุ๊ปที่โผล่มาระยะนี้อีก กำลังที่พวกเขาแสดงออกมาในขณะนี้ ก็คุกคามสี่ตระกูลใหญ่ได้แล้ว”
“หากเวลานี้พวกเราร่วมกันรับมือกับศัตรูภายนอก เป็นไปได้มากว่าอาจจะถูกพวกเขาอาศัยช่องโหว่แทรกเข้ามา”
ทว่าไป๋ยี่เฟยกลับกล่าวอย่างหนักแน่นเป็นอย่างยิ่งว่า “ไม่มีที่ให้สำหรับการหารือใดๆ ฉันยอมแลกทุกอย่าง เพื่อขัดขวางการทำการค้าของสหพันธ์วรยุทธ”
หวังโหลวกับหลงหลิงหลิงสบตากัน เหมือนว่าพวกเขายังอยากจะเกลี้ยกล่อมไป๋ยี่เฟยอีก
เพราะอย่างไรการกระทำเช่นนี้ก็ไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ
ไป๋ยี่เฟยกับโบกมือกล่าวว่า “รีบไปจัดการเถอะ ส่วนเฟิงหั่วกรุ๊ปนี้ ฉันจะลองไปพบพวกเขาดูก่อน เพื่อสืบหาความจริง”
“พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น”
การแข็งแกร่งและการยิ่งใหญ่ขององค์กรหนึ่ง นอกจากกำลังความสามารถของสมาชิกภายในองค์กรแล้ว ก็จำเป็นต้องมีเงินทุนสนับสนุนด้วย
เขาตัดแหล่งทำเงินของสหพันธ์วรยุทธแล้ว ไหนจะยอดฝีมือไหนจะสินค้าวัตถุดิบและเครื่องมือมากมายขนาดนั้น เขาจะเอาอะไรมาประคับประคองสหพันธ์ของเขาต่อ?
ตอนแรกไป๋ยี่เฟยไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่ใครใช้ให้พวกเขาเป็นฝ่ายมายั่วโมโหเขาก่อนล่ะ
พวกเขาอยากแข่งก็แข่งกันเองสิ ดึงดันจะลากเขาเข้ามาพัวพันให้ได้ แถมยังเห็นเขาเป็นหมากไร้ค่าตัวหนึ่งอีก!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็อย่างมาโทษเขาแล้วกัน
ไม่ว่าจะเป็นหยุนอิงหรือจีไซ เขาจะทำให้พวกนั้นได้รู้ว่า การเห็นตนเป็นหมากไร้ค่า จะต้องจ่ายราคาอย่างแสนสาหัส!
คนเหล่านั้นของหนานเหมินต่างแข็งยุทธอ่อนธุรกิจ แต่คนบนโลกนี้ ขาดนักธุรกิจไป ก็ไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปได้ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว
หากว่ากันถึงที่สุด ยังคงต้องการเงิน
มีประโยคหนึ่งธรรมดามาก แต่มีเหตุผลมาก
เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยพอจะรู้แล้วว่าทำไมเหลียงหมิงเยว่ถึงอยากจะฆ่าซินชิว จากนั้นก็ยึดคลังเก็บทองมาเป็นของตน
ของเพียงมีคลังเก็บทองอยู่ เช่นนั้นเขาก็คือคนที่มีเงินมากที่สุดบนโลกใบนี้ มีเงินก้อนนี้แล้ว ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำได้ไม่ใช่หรือ? อยากทำลายใครก็ทำลายคนนั้น!
หวังโหลวเห็นว่าไร้หนทางจะเกลี้ยกล่อมได้อีก จึงได้แต่ยิ้มขื่นแล้วพยักหน้า “ได้ ผมรู้แล้ว แต่คุณต้องเตรียมทำใจรับความพ่ายแพ้ของเราให้ดี”
ไป๋ยี่เฟยไม่พูดมากอีก “ไปเตรียมการเถอะ”
หลังหวังโหลวออกไป ไป๋ยี่เฟยกับกล่าวกับหลงหลิงหลิงว่า “คุณเองก็เตรียมตัวเหมือนกัน คืนนี้ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”
“ได้ค่ะ” หลงหลิงหลิงพยักหน้าด้วยสีหน้าแดงเรื่อ
มอบหมายธุระเสร็จ ไป๋ยี่เฟยก็พายีหยุนจากไป
เวลานี้ยีหยุนจึงถามด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมากว่า “อาคารหลังใหญ่แห่งนี้เป็นของคุณทั้งหมด?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้า
ยีหยุนถอนหายใจออกมา “ที่แท้ก็ไม่ใช่สินะ อาคารใหญ่หลังนี้ยังใหญ่กว่าสำนักงานใหญ่ของสหพันธ์วรยุทธเสียอีก”
ทว่าไป๋ยี่เฟยกลับพูดว่า “นี่เป็นเพียงอาคารใหญ่หลังหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของผม”
“อะไรนะ?” ยีหยุนเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
ไป๋ยี่เฟยกล่าวว่า “นี่เป็นแค่บรรดาหลังหนึ่งในนั้น ผมยังมีอีกหลายหลัง”
คราวนี้ยีหยุนอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ
ยีหยุนถูกท่านดยุกเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เมืองใหญ่ที่สุดของที่นี่ก็คือเมืองหมิงเฉิง ซึ่งเมืองหมิงเฉิงสำหรับพวกเขาจึงนับว่าเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของที่นั่นแล้ว
สำหรับที่นี่ กลับเป็นได้เพียงเมืองระดับอำเภอเมืองหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงตกใจมาก มิหนำซ้ำไป๋ยี่เฟยยังบอกอีกว่านี่เป็นเพียงหลังหนึ่งในบรรดาหลายหลัง ความตกตะลึงที่อยู่ในใจเธอไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้
ขณะเดียวกัน ความมั่นใจในตอนแรกที่ยังมีไม่มากนักในการฆ่าท่านดยุก ตอนนี้เธอพบว่า บางทีพวกเขาอาจจะสามารถฆ่าท่านดยุกได้จริงๆ ก็เป็นได้
ยีหยุนไร้ที่ไป ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงพาเธอกลับมายังคฤหาสน์หลันโปกั่งด้วยกัน
ทว่าที่เขาคิดไม่ถึงคือ ในบ้านตอนนี้ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
หลังไป๋ยี่เฟยกับยีหยุนเข้ามาในคฤหาสน์ ก็พบกับน้าเจี่ยงที่เก็บกวาดห้องครัวเสร็จพอดี
น้าเจี่ยงเป็นคนที่พวกเขาพามาที่นี่เพื่อดูแลลูกโดยเฉพาะ
พอเธอเห็นไป๋ยี่เฟย ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อน จากนั้นก็ร้องเรียกคนในบ้านอย่างดีใจมากว่า “นายหญิง คุณไป๋กลับมาแล้วค่ะ!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเสียงครึกครื้นในบ้าน ก็ถามว่า “มีแขกมาหรือ?”
น้าเจี่ยงรีบตอบทันทีว่า “เป็นพ่อแม่คุณค่ะ ยังมีพ่อตาแม่ยายคุณด้วย”
พอได้ยินว่าพวกเขามากันหมด ศีรษะก็พลันปวดขึ้นมาทันที