เห็นได้ชัดเลยว่านี่คือคาถาที่อาหยางได้ร่ายไว้ เป็นคาถาที่สามารถลวงตาได้คล้ายๆกับคาถาที่อยู่ตรงทางเข้าของคลังเก็บทองที่สาม
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้จงใจดึงผ้านวมที่ปกปิดร่างกายของหญิงสาวออกไป จากนั้นค่อยดึงดูดความสนใจของพวกเขา และค่อยผลักหญิงสาวไปทางเหลียนยินอีกที ฉวยโอกาสในจังหวะที่พวกเขาเบี่ยงเบนความสนใจ ไป๋ยี่เฟยจึงรีบเดินตรงเข้าไปทางประตูที่มองไม่เห็นบานนั้น
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง พวกเขาก็จะรู้สึกว่าไป๋ยี่เฟยได้หายตัวไปแล้ว
……….
หลังจากที่เดินเข้าไปในประตูบานนั้นแล้ว ไป๋ยี่เฟยเห็นช่องทางเดินยาวๆทางนึง ซึ่งเป็นทางที่สามารถเดินเข้าไปได้ทีละคนๆพอดี
ไป๋ยี่เฟยจึงมุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปโดยที่ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
ช่องทางเดินดังกล่าวไม่มีแสงสว่างใดๆเลย ถึงแม้ในสายตาของเขาช่วงเวลากลางวันจะเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีแสงใดๆเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาเห็นก็มีแต่ความมืดมนอยู่ดี
อีกอย่างหลังจากที่เขาเดินทางไปได้หนึ่งกิโลเมตร เขาก็ได้พบกับทางออกเลย ถ้างั้นการคาดเดาของเขาน่าจะไม่มีผิด หวังเจียจุ้นโยกย้ายตัวเองไปยังสถานที่อื่นด้วยช่องทางเดินนี้
และทางออกคือห้องเก็บของของสวนสาธารณะ
หลังจากที่เขาเดินออกมาจากห้องเก็บของแล้ว เขาพบว่าข้างทางมีรถยนต์คันหนึ่งเพิ่งสตาร์ทรถพอดี
และหลังจากที่เขาเห็นรถคันดังกล่าวแล้ว แววตาเขาก็เยือกเย็นลงภายในพริบตา
เนื่องจากเขาเห็นว่าคนสุดท้ายที่เดินขึ้นรถ คือบอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งของหวังเจียจุ้น
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงรีบวิ่งตามเข้าไป
ถึงแม้เขาจะเร็วแค่ไหนแต่ก็ไม่เร็วกว่าความเร็วของรถอยู่ดี ตอนนี้บนท้องถนนไม่มีรถคันอื่นๆแล่นผ่านเช่นกัน เขาไม่สามารถไล่ตามไปได้ด้วยซ้ำ
แต่เขาไม่ได้เกิดความสับสนเลยแม้แต่น้อย มุ่งหน้าวิ่งตรงไปในทิศทางของรถคันดังกล่าว ก่อนจะกดโทรหาจางหัวปิน “ช่วยผมตรวจเช็คกล้องวงจรปิดตามท้องถนนที รถออดี้สีเงิน ป้ายทะเบียนรถคือเป่ยB6688 จากสวนดอกไม้ตรงไปยังทิศใต้รีบๆหน่อยครับ!”
“ได้!”
หลังจากที่วางสายไป ไป๋ยี่เฟยสังเกตเห็นอย่างกะทันหันว่าฝั่งตรงข้ามของถนนมีร้านเกมร้านนึง ด้านนอกของร้านเกมมีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลายคันรวมไปถึงรถมอเตอร์ไซค์ที่ดูไม่ธรรมดาจอดอยู่คันนึง
รถมอเตอร์ไซค์พวกนี้น่าจะเป็นรถของพวกวัยรุ่นที่มาเล่นเกมในร้านเกม
ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปฝั่งตรงข้ามของถนน ตำรวจดูรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าว ก่อนจะพบว่าเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ดึงกุญแจรถออกไป
ไป๋ยี่เฟยจึงขับรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวออกไปได้อย่างราบรื่น
……….
ภายในร้านเกม
“ฉันจะไปช่วยคน พวกนายมาเพิ่มเลือดฉันหน่อย”
“ให้ตายสิ! แกแม่งส่งสัญญาณให้ดูหน่อยดิวะ!”
“เร็วหน่อย ถ้ารีบไม่มาช่วย ฉันตายแล้วนะ!”
โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่วางเรียงกันสี่โต๊ะ มีชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวอีกคนนึง กำลังเล่นเกมPUBGกันอย่างสนุกสนาน
เวลานี้เป็นช่วงเวลาตีสี่ตีห้าแล้ว ลูกค้าคนอื่นที่มาเล่นเกมในยามดึกต่างทนต่อไม่ไหวแล้ว นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ยังกระตือรือร้นมาก
และในตอนนี้เอง ผู้หญิงคนนึงในที่สี่คนนี้ ไม่สิต้องพูดว่าหญิงสาวคนนึง การแต่งตัวของเธอดูเหมือนพวกนักเลงมาก และเธอคนนั้นก็คือน้องสาวของหลิวหัวล้าน หลิวเสียนั่นเองเธอนึกขึ้นมาได้ว่าภายในกลุ่มเพื่อนของเธอมีคนนึงที่มีรถมอเตอร์ไซค์ เธอจึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสาม นายไปดูหน่อยดิว่ารถมอเตอร์ไซค์นายยังอยู่หรือเปล่า?”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าไอ้สามคือชายหนุ่มที่ย้อมผมสีเหลืองทอง เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า “เวลานี้แล้ว พวกโจรก็ควรพักผ่อนได้แล้วมั้ง?”
“อีกอย่างด้านนอกของร้านเกมมีกล้องวงจรด้วย หรือว่าพวกโจรในยุคสมัยนี้มันกล้าขนาดนั้นแล้วหรอ ยังกล้าขโมยรถคนอื่นทั้งที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ด้วย?”
หลิวเสียคิดไปคิดมา และรู้สึกสมเหตุสมผลดี “ก็จริง”
“น้องสองเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ใช้ชีวิตอยู่ในวงการมานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีใครกล้ามารังแกฉันหรอกนะ!” ผู้ชายที่ทรงผมเหมือนเด็กแว้นที่นั่งอยู่ข้างๆหลิวเสียพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ “คนที่อยู่ในวงการนักเลงนี้ยิ่งไม่กล้ามาแตะต้องรถของฉัน!”
“ใช่ๆ! พี่หลินของเราคือใคร!” เจ้าสามหวงเหมาพูดขึ้นมาตามอย่างภาคภูมิใจ
แต่ทันทีที่เสียงของเขาเพิ่งจบลง ด้านนอกก็มีเสียงดังบรื้นดังขึ้นมา
“บรื้น!”
ทั้งสี่คนผงะไปอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นหลิวเสียถอดหูฟังลง แล้วถามว่า “พี่หลินเสียงเมื่อกี้คือเสียงมอเตอร์ไซค์ใช่ไหม?”
“เหมือนจะใช่อยู่มั้ง?” หวงเหมากระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะมองไปทางพี่หลินด้วยสายตาที่ไม่มั่นใจ
พี่หลินลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่คาดคิด เขาเดินออกไปด้วยแล้วพูดไปด้วยว่า “หรือว่ามีคนกล้าขโมย…..เชี้ย!”
“บรื้น!”
หลังจากที่บีดมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์ของพี่หลินจะถูกคนอื่นเขาออกไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง
“เชี่ย! รถฉัน!”
พี่หลินรีบทิ้งหูฟังแล้วไล่ตามออกมา หลังจากที่เขาออกไปแล้วเขาก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของรถมอเตอร์ไซค์เลย
“เชี่ยเอ้ย!” พี่หลินหันหน้าเดินเข้ามาในร้านเกม ก่อนจะเดินไปตรงหน้าเคาน์เตอร์พลางโต๊ะเคาน์เตอร์อย่างโกรธเคือง “เถ้าแก่ตื่นเช็คกล้องวงจรที! เช็คกล้องวงจรให้ฉันหน่อย! วันนี้ไม่ว่ายังไงฉันก็จะแจ้งตำรวจให้ได้!”
คนที่เหลืออีกทั้งสามคนต่างพากันเดินเข้ามาด้วยเช่นกัน
หลังจากที่พนักงานร้านเน็ตถูกปลุกขึ้นมาแล้ว เขายังคงงัวเงียอยู่เล็กน้อย แต่ว่าหลังจากที่รู้ว่ามอเตอร์ไซค์ของพวกเขาถูกขโมยไป เขาก็ได้สติประมาณไม่น้อยเลย
ก่อนจะรีบกดเปิดภาพที่บันทึกไว้ตรงหน้าร้านเกมออกมา
พี่หลินได้โทรแจ้งตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ฮัลโหลครับ รถมอเตอร์ไซค์ของผมถูกคนอื่นขโมยไปแล้ว พวกคุณ…..”
แต่ทันใดนั้นเอง หลังจากที่หลิวเสียเห็นภาพที่บันทึกไว้ในกล้องวงจรปิด เธอก็ตะลึงอย่างกะทันหัน ก่อนจะรีบแย่งโทรศัพท์มาจากมือพี่หลิน แล้วพูดผ่านโทรศัพท์ว่า”ขอโทษด้วยนะคะคุณตำรวจ แฟนหนูดื่มจนเมาน่ะค่ะ กดผิด กดผิด…..”
พี่หลินทั้งสามคนมองดูหลิวเสียจนมึนงง
“พี่รอง พี่ทำอะไรน่ะ?”
“รถของนายถูกขโมย ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ?”
พี่หลินก็รู้สึกโมโหเล็กน้อยเช่นกัน “น้องรอง รถของฉันถูกคนอื่นขโมยไปแล้ว ทำไมเธอไม่ให้ฉันโทรแจ้งตำรวจหละ? ฉันใช้ชีวิตอยู่ในวงการนี้มานานหลายปี แต่กลับ…..”
“ยังจะแต่อะไรอีก?” หลิวเสียใส่อารมณ์กลับขึ้นไปทันที “นายคือพี่หลินเลยนะ รถมอเตอร์ไซค์ถูกคนอื่นขโมยไป ยังต้องโทรแจ้งตำรวจอีกหรอ?”
พี่หลินที่ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกมึนงงไปกับ ก่อนจะพูดอย่างโมโห “หมายความว่ายังไง?”
หลังจากนั้นเหมือนเขาจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “เธอรู้จักกับมันใช่ไหม? พวกแกแม่งมีอะไรกันใช่ไหม?”
“หุบปาก!” หลิวเสียตะคอกเสียงดังลั่นใส่เขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงกำลังจะเดินออกไป
แต่พี่หลินเข้ามาห้ามเธอไว้ก่อน “แกยังไปไม่ได้ วันนี้ต้องพูดทุกอย่างให้ฉันรู้เรื่อง ไม่งั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจละกัน”
หลิวเสียเงยหน้าขึ้นมามองดูพี่หลินเมื่อได้ยินแบบนี้ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วพูดว่า “น้อง ที่เจ๊มาเล่นกับพวกแกเพราะเจ๊อารมณ์ดี ถึงเรียกแกว่าพี่หลิน แต่ถ้าทำให้อารมณ์เจ๊ไม่ดี พวกแกแม่งก็ไม่มีค่าอะไรเลย!”
“แกรนหาที่ตายใช่ไหม?” คำพูดนี้กระตุ้นให้พี่หลินโกรธกริ้วขึ้นมาทันที
หลิวเสียหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เป็นเสียงหัวเราะที่เยือกเย็น และภายในน้ำเสียงของเธอยังเต็มไปด้วยความดูหมิ่นอีกด้วย “วงการนักเลงอะไรที่แกพูดถึงก็เป็นแค่นักเลงกระจอกๆที่เก่งแต่ในมหาลัยเท่านั้นแหละ ถ้าออกไปเจอโลกที่กว้างใหญ่ แกแม่งไม่ใช่อะไรทั้งนั้น!”
“ฉันจะขอเตือนอะไรแกให้ แกอย่าไปมีปัญหากับคนที่ขโมยรถแกไปจะดีกว่า ที่เขาขโมยรถของแก นั่นคือความโชคดีของแก ไม่แน่พรุ่งนี้เขาอาจจะเอารถที่ดีกว่านี้คืนแกก็ได้!”
“สุดท้าย ต่อไปอย่าเรียกฉันว่าน้องรองอีก ตอนที่เจ๊เป็นลูกพี่ใหญ่ พวกแกยังเขี่ยเล่นขี้ไก่อยู่เลย!”
“โดยสรุปแล้ว ฉันมีแค่พี่ชายสองคน คนนึงคือพี่ชายแท้ๆของฉัน ส่วนอีกคนนึงคือลูกพี่ใหญ่ของพี่ชายฉัน!”
“หลีกทางให้เจ๊เดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่พูดจบเธอจึงใช้มือผลักพี่หลินทีนึง ก่อนจะรีบวิ่งออกไป
ใบหน้าของสามคนที่เหลือเต็มไปด้วยความมึนงง
หวงเหมาถามขึ้นมาอย่างสงสัย “พี่หลิน นี่มันอะไรยังไงกันเนี่ย? ทำไมอยู่ดีๆก็อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างกะทันหันแบบนี้หละ?”
“ก็ใช่ไง ไม่ใช่ว่าพี่รองไม่อยากใยดีกับพี่แล้วนะ?”
พี่หลินเงยหน้าขึ้นมามองแผ่นหลังของหลิวเสียที่วิ่งออกไปไกลแล้ว พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ผู้หญิงที่ฉันหมายตาไว้แล้ว มันหนีไม่รอดหรอก!”
“ใช่สิ นางบอกว่านางยังมีพี่ชายอีกสองคน พวกนายสองคนไปสืบมาหน่อยว่าพี่ชายทั้งสองคนนั้นของนางทำงานอะไร?”
“ได้!”
……….
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยขับรถมอเตอร์ไซค์ของพี่หลินออกมาแล้ว เขาก็บิดคันเร่งจนสุดเลย
ตอนนี้ในสายตาของเขาเป็นช่วงเวลากลางวัน บนท้องถนนในช่วงเวลากลางวันไม่มีรถคันไหนที่กล้าขับซิ่งอย่างบ้าคลั่งเหมือนเขาหรอกนะ ตอนนี้เขาไม่ต้องคอยขับหลบรถที่ขับไปมา มันสะดวกมากๆ
ระหว่างทาง ไป๋ยี่เฟยก็ได้รับสายที่โทรเข้ามาจากจางหัวปิน
“หาเจอแล้ว ตอนนี้พวกมันกำลังอยู่บนสะพานใหญ่เทียนเป่ย นายเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกที่จะถึงด้านหน้าได้เลย”
หลังจากที่ได้ยินแล้ว ไป๋ยี่เฟยจึงรีบโค้งตรงสี่แยก เขาเร่งรีบต่อการไล่ตามคน ดังนั้นในช่วงนี้จังหวะโค้งรถเขาไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย
แต่ในช่วงจังหวะที่เขาโค้งมาได้สำเร็จนั้น ก็มีรถออฟโรดคันนึงพุ่งตรงเข้ามาจากอีกทางอย่างรวดเร็ว
บริเวณทางโค้งมีตึกสูงอยู่ตึกนึง วิสัยทัศน์ไม่ได้กว้างขวางแต่อย่างใด ไป๋ยี่เฟยเพิ่งเห็นรถออฟโรดคันดังกล่าวหลังจากที่โค้งมาได้สำเร็จแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็เพิ่งเห็นไป๋ยี่เฟยเหมือนกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเบครถอย่างกะทันหัน