ตอนที่มาถึงห้องรับแขก ไป๋ยี่เฟยคิดไม่ถึงว่าจะเห็นที่บนโซฟายังมีผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่
ไป๋ยี่เฟยตกใจเป็นอย่างมาก “รุ่นน้อง?”
ผู้หญิงอีกคนที่เกินออกมานี้ ก็คือรุ่นน้องของเขาเหลียงยู่
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?” ไป๋ยี่เฟยเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ
เหลียงยู่นั่งพิงอยู่บนโซฟา หลังจากที่เห็นไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร เพียงแต่เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “หรือฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรอ?”
พูดตามตรง ไป๋ยี่เฟยค่อนข้างที่จะมีความหลีกเลี่ยงเหลียงยู่อยู่บ้าง เพราะเธอนอกจากจะเป็นลูกศิษย์ของจื่ออีแล้ว ยังเป็นลูกสาวของเหลียงหมิงเยว่อีกด้วย
และตอนนี้เห็นเหลียงยู่ไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “เธอไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องที่ฉันไม่ได้ตายเลยหรอ?”
เหลียงยู่กลับเอ่ยปากอย่างนิ่งเฉย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันเล็กน้อย “จุดประสงค์ที่ฉันมาที่นี่ก็คืออยากบอกคุณว่า อย่าแสร้งทำเป็นฉลาดเลย มีบางคนเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าคุณไม่ได้ตาย”
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงไปชั่วขณะ ที่แท้เธอมาที่นี่เพื่อเตือนตนเอง
และบางคนที่เหลียงยู่พูดคาดว่าก็คงจะเป็นเหลียงหมิงเยว่แน่
และเหลียงยู่มาเตือนตนเอง แสดงว่าพรุ่งนี้เหลียงหมิงเยว่มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมาใช่หรือเปล่า?
หลังจากเหลียงยู่พูดจบก็ลุกขึ้น “คุณรู้แล้ว ฉันก็ไปก่อนล่ะ”
หลังจากพูดจบก็จากไป
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตามออกไป “รุ่นน้อง”
ด้านนอกประตู เหลียงยู่หยุดลง แต่กลับไม่ได้หันหน้ากลับ เพียงแต่เอ่ยขึ้นอีกประโยคอย่างราบเรียบว่า “ระวังคนข้างกายของคุณ”
“หมายความว่าอะไร?” ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
เหลียงยู่เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “เตือนคุณประโยคหนึ่งก็เท่านั้น คนบางคนอาจจะเป็นเพราะเรื่องบางเรื่องทำให้ท่าทีเกิดการสั่นไหว รวมไปถึงคนข้างกายที่คุณเชื่อใจมากที่สุด”
“ตัวคุณเองระมัดระวังมากหน่อยก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะกลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆแล้ว”
หลังจากพูดจบ เหลียงยู่ก็ก้าวขาจากไปอีกครั้ง
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าก็นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “คนเหล่านี้ก็รวมถึงเธอด้วยหรอ?”
เหลียงยู่ราวกับไม่ได้ยินยังไงอย่างงั้นเดินต่อไปข้างหน้า จนกระทั่งเงาร่างค่อยๆหายไป
สำหรับคำที่เหลียงยู่พูด ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีภายในจิตใจของไป๋ยี่เฟยก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
กลับมาถึงภายในห้องอีกครั้ง หลิวเสี่ยวอิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามไป๋ยี่เฟย “พวกเราควรจะช่วยหลิงหลิงยังไงดีคะ?”
ไป๋ยี่เฟยมองดูหลงหลิงหลิงที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาแวบหนึ่ง เธอสวมชุดนอนผ้าไหม ชุดนอนหลวมมาก นี่ยังคงปกปิดรูปร่างที่น่าภาคภูมิใจของเธอเอาไว้ไม่อยู่ แต่ดวงตาทั้งสองข้างของหลงหลิงหลิงได้เลื่อนลอย ไม่มีพลังชีวิตอย่างที่เคยมีในอดีตอีกต่อไป
ตอนนี้เขารู้แล้วว่า พ่อแม่ของหลงหลิงหลิงถูกตระกูลหวังซ่อนเอาไว้ เธอเป็นผู้ถูกบีบบังคับ
แต่รู้แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะว่าแม้แต่จางหัวปินก็ยังตรวจสอบไม่พบจุดประสงค์ที่แท้จริงและรายละเอียดเบื้องลึกของตระกูลหวัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตรวจสอบว่าพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหนเลย
ไป๋ยี่เฟยคิดจะปลอบหลงหลิงหลิง แต่เขาจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
สุดท้ายถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “ผมอยากนอน”
สุดท้ายตัวเขาเองหาห้องรับรองแขกห้องหนึ่ง ล้มลงไปบนเตียงจากนั้นก็นอนหลับไป
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยไปแล้ว หลงหลิงหลิงก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้
หลิวเสี่ยวอิงเห็นแล้วก็รีบปลอบในทันทีว่า “หลิงหลิง เขาจะต้องมีวิธีแน่ เธอจะเพิ่งร้อนใจ”
ประโยคนี้พูดจบ เธอกลับพุ่งเข้าไปในห้องรับรองแขกอย่างเร่งรีบ คิดจะดึงไป๋ยี่เฟยขึ้นมา จะให้เขาคิดหาวิธีออกมาให้ได้
แต่เพิ่งจะเข้าไปในห้องรับรองแขกก็ได้ยินเสียงกรนของไป๋ยี่เฟย เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เวลาสองนาทีคิดไม่ถึงว่าจะหลับแล้ว
งั้นหลายวันมานี้เขาเหนื่อยขนาดไหนกันนะ?
หลิวเสี่ยวอิงอดไม่ได้ที่จะปวดใจขึ้นมา เธอปิดประตู จากนั้นเดินย่องเบามาถึงข้างเตียงแล้วห่มผ้าให้เขาอย่างเบามือ “คุณไม่ได้นอนมานานเท่าไรแล้วคะ?”
…
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยตื่นขึ้นมาพบหลิวเสี่ยวอิงขดอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง
ศีรษะของหลิวเสี่ยวอิงอิงแอบอยู่บนหน้าอกของเขา นอนหลับลึกมาก
ไป๋ยี่เฟยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองดูเวลาแวบหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า
เขาก็เลยลุกขึ้นอย่างช้าๆ กลัวจะทำให้หลิวเสี่ยวอิงตกใจตื่น
หลังจากลุกขึ้นก็เปิดประตูออกไปเบาๆ
เพียงแต่ตอนที่เขาไปถึงห้องรับแขก คิดไม่ถึงว่าจะพบหลงหลิงหลิงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอยมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
ไป๋ยี่เฟยมองเธอพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “หลิงหลิง ผมไม่มีทางให้คุณเกิดเรื่องอย่างแน่นอน”
หลงหลิงหลิงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่ได้ยิน
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้อีก แต่ออกไปจากตรงนั้นแทน
…
ดวงอาทิตย์ขึ้น วันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ขบวนขันหมากที่ครึกครื้นมาถึงยังหมู่บ้านหลันโปกั่ง
หลงหลิงหลิงสวมชุดแต่งงาน เพิ่งจะนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ให้ช่างแต่งหน้าตกแต่งใบหน้าให้กับเธอตามอำเภอใจอย่างเหม่อลอย
และหลิวเสี่ยวอิงยืนอยู่ที่ด้านหลังของหลงหลิงหลิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ภายในห้องทั้งห้องไม่มีใครพูดอะไร ดูแล้วไม่เหมือนว่ากำลังจะแต่งงานเลยแม้แต่น้อย
อยู่ๆคนกลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามา ทั้งหัวเราะทั้งก่อกวน ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
หวังเจียจุ้นอยู่ในวงล้อมของกลุ่มคน เดินไปทางหลงหลิงหลิงอย่างช้าๆ ย่อตัวลงสวมรองเท้าให้กับหลงหลิงหลิงด้วยตัวเอง ทั้งยังนำดอกกุหลาบสีแดงสดช่อหนึ่งส่งให้กับเธออีก
หลงหลิงหลิงใบหน้าเยือกเย็นตลอดขั้นตอน ไม่มีการตอบรับแม้แต่น้อย
สุดท้าย หวังเจียจุ้นอุ้มหลงหลิงหลิงขึ้นมา นำเธออุ้มขึ้นไปบนรถ
พวกเขาต้องรีบไปยังสถานที่แต่งงาน หรือก็คือโรงแรมโป๋หย่าแห่งมณฑลเจียงเป่ย
งานแต่งงานนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก คนใหญ่คนโตที่มีหน้ามีตาของมณฑลเจียงเป่ยแทบจะมากันทุกคน
ด้านนอกโรงแรมจอดเต็มไปด้วยรถหรูนานาชนิด ถนนแทบจะถูกทำให้ติดด้วยรถหรูทั้งหมด
โรงแรมโป๋หย่าตั้งอยู่ริมทะเล คนที่มาถึงต่างก็ทักทายกันอยู่บนชายหาด
และบนชายหาดอีกฝั่งหนึ่งก็จัดเป็นพิธีแต่งงาน มีพรมแดง มีซุ้มประตูดอกไม้ แล้วก็มีลูกโป่ง
เฟิงหั่วกรุ๊ปผงาดขึ้นในมณฑลเจียงเป่ยอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพอปรากฏตัวขึ้นก็ล้มเย่ซื่อกรุ๊ปเลย สร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมากในวงการธุรกิจ ดังนั้นคนใหญ่คนโตในมณฑลเจียงเป่ยเหล่านี้ล้วนไม่กล้าดูหมิ่น
ภายในเสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานของทุกคนไม่รู้ว่าใครร้องตะโกนขึ้นมาหนึ่งประโยค
“มาแล้วๆ คู่บ่าวสาวมากแล้ว!”
ทุกคนทยอยกันมองไปทางด้านหน้าประตู ในขณะเดียวกันยังตามมาด้วยการซุบซิบสองสามประโยค
“ที่ตระกูลหวังแต่งเข้าเป็นถึงประธานโหวจวี๋กรุ๊ปในเครือเฟยเสว่กรุ๊ปหลงหลิงหลิง สองผู้แข็งแกร่งรวมเข้าด้วยกันนี้ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีใครกล้ายุแหย่ตระกูลหวังแล้ว”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ? เดิมทีแค่ตระกูลหวังก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว มีโหวจวี๋กรุ๊ปเข้ามาอีก ต่อไปมณฑลเจียงเป่ยไม่มีใครสามารถเปรียบเทียบกับพวกเขาได้แล้ว”
“งั้นก็รีบถือโอกาสนี้เกาะแข้งเกาะขาเถอะ!”
“พูดมีเหตุผล!”
ในขณะที่พวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ปรากฏตัวขึ้นจากพรมแดงทางฝั่งนั้น ค่อยๆเดินมาอย่างช้าๆ
พิธีกรที่ใส่ชุดทางการ มือถือไมโครโฟนเริ่มปลุกบรรยากาศขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “แขกผู้มีเกียรติญาติสนิทมิตรสหายทุกท่าน…”
หลงหลิงหลิงเดินอยู่บนพรมแดงด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย ในตอนที่เธอมองเห็นพ่อแม่ของตนเองก็นั่งอยู่บนเวที ในที่สุดก็วางใจลงมาเล็กน้อย
และที่บนเวทีหลัก นอกจากพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงแล้ว ยังมีคู่สามีภรรยาวัยกลางคนอีกคู่หนึ่ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องเป็นพ่อแม่ของหวังเจียจุ้นอย่างแน่นอน
หลงหลิงหลิงวางใจแล้วจริงๆ แต่ก็ด้านชาจนถึงขีดสุดแล้วเช่นเดียวกัน
เธอเหมือนกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่งยังไงอย่างงั้น ทำตามขั้นตอนทีละขั้นๆ ไม่ได้ใช้ใจเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งพิธีกรเอ่ยถามเธอ “คุณหลงหลิงหลิง ไม่ว่าเกิดแก่เจ็บตาย จะจนหรือรวย คุณต่างก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคุณหวังเจียจุ้นใช่หรือไม่ครับ?”
เธอถึงได้มีสติกลับคืนมา หันมองไปทางหวังเจียจุ้นที่อยู่ข้างกายของตนเอง
หวังเจียจุ้นกำลังมองตนเองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ในขณะเดียวกัน หลงหลิงหลิงยังรู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนภายในงานที่กำลังจับจ้องมาที่ตนเอง นี่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจจนถึงขีดสุด
“ฉัน…”
หลงหลิงหลิงเอ่ยปาก กลับยังไงก็พูดไม่ออกสองคำสุดท้ายนั่น