หลงหลิงหลิงเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่กล้าไปมองพวกเขา
เธอไม่มีทางเลือก เธอไม่สามารถมองเห็นพ่อของตนเองไปตายได้
หลังจากนั้นชั่วขณะ ไป๋หยุนเผิงก็ถอนหายใจออกมาว่า “เธอมีความลำบากของเธอ”
หวังสือชิ่งทำอย่างชัดเจนขนาดนั้น ทำไมเขาจะดูไม่ออกอีกว่ากำลังข่มขู่หลงหลิงหลิงล่ะ?
“ฮ่าๆ…”
หวังเจียจุ้นหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน “พวกแกวันนี้คือมาเล่นตลกกันหรอ? เมียของฉันก็ต้องสนับสนุนฉันแน่นอนอยู่แล้ว พวกแกเอาความมั่นใจมาจากที่ไหนกัน?”
“สี่ตระกูลใหญ่อะไร? เฟยเสว่กรุ๊ป? สร้างกลุ่มมาเล่นตลกหรอ?”
“ฮ่าๆ…”
ได้ยินคำเย้ยหยันที่กำเริบเสิบสานของหวังเจียจุ้น ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆต่างก็มีสีหน้าที่ไม่พอใจ
คนอื่นๆที่รับชมล้วนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“ตระกูลหวังนี่สุดยอดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะกดสี่ตระกูลใหญ่ลงไปได้!”
“ตอนนี่ตระกูลหวังมีหุ้นสี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ ตระกูลไป๋ทางนี้มีเพียงแค่สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ถึงสุดท้ายยังไงก็ต้องเป็นตระกูลหวังที่ตัดสินใจน่ะสิ!”
“ของขวัญที่ฉันมอบให้เมื่อครู่นี้ไม่น้อยเลยนะ คงจะสามารถมีหน้ามีตาต่อหน้าตระกูลหวังได้หน่อยล่ะมั้ง?”
หวังเจียจุ้นใบหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจ หวังสือชิ่งสีหน้าสงบนิ่ง
และพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ตอนนี้คือตระกูลหวังที่ได้เปรียบ ดังนั้นจึงหัวเราะตามขึ้นมาด้วย
ที่พวกเขาทางนี้คนเดียวที่หัวเราะไม่ออก มีเพียงแค่หลงหลิงหลิงเท่านั้น
หากไม่ใช่พ่อแม่ของเธอถูกข่มขู่บีบบังคับ หลงหลิงหลิงจะต้องเลือกสนับสนุนตระกูลไป๋โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน แต่เธอไม่มีทางเลือก
หวังสือชิ่งปล่อยพ่อของหลงหลิงหลิง หัวเราะพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้พวกคุณก็ถือเป็นหุ้นส่วนของเฟิงหั่วกรุ๊ปแล้ว ผมซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากต่อการเข้าร่วมของพวกคุณ”
“วันนี้วันแต่งงานของลูกชายผม ทุกคนต่างก็มาแล้ว ก็ดื่มเหล้ามงคลสักจอกแล้วค่อยกลับก็แล้วกันครับ”
ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆทำตัวไม่ถูกเป็นอย่างมาก
หวังเจียจุ้นดูเหมือนยังอยากหัวเราะไม่พอ หัวเราะเสียงดังต่อไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “มาๆๆ หากเรียบร้อยแล้วก็ดื่มเหล้ามงคลสักจอก เป็นพยานให้กับเราสองสามีภรรยาเถอะ!”
คนของสามตระกูลใหญ่แต่ละคนสีหน้าต่างก็ไม่น่ามอง
ไป๋หยุนเผิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่มืดหม่นว่า “ความแค้นของลูกชายฉันจะช้าจะเร็วฉันก็ต้องชำระ!วันนี้ก็ให้พวกแกได้ใจไปก่อนชั่วคราว หึ!พวกเราไป!”
พูดจบเขาก็พาทุกคนออกไปจากตรงนั้น
ในเวลานี้เอง ก็มีคนตะโกนออกมาหนึ่งประโยคว่า
“รอก่อน!”
ทุกคนหันไปตามเสียง ในขณะเดียวกันก็ต่างฝ่ายต่างกระจายออก ให้ทางออกมาทางหนึ่ง
ผู้หญิงที่ดูเหมือนอายุสามสิบกว่า หน้าตาถือว่าสวยคนหนึ่งเดินออกมา
เธอมาถึงยังด้านหน้าของไป๋หยุนเผิง เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ชิงแกอย่าเพิ่งรีบร้อนกลับ ละครสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเองนะ!”
ไป๋หยุนเผิงนิ่งอึ้ง ชิงแก?
หวังเจียจุ้นเห็นว่ามีคนออกมาก่อเรื่องอีก ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างควบคุมความโมโหเอาไว้ไม่อยู่ “แกเป็นใครอีก?”
“ฉันน่ะหรอ หวังซือซือ พวกเราถือได้ว่าเป็นต้นตระกูลเดียวกัน” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หวังเจียจุ้นหยุดชะงัก ต้นตระกูลเดียวกัน? ดังนั้นผู้หญิงคนนี้คือฝั่งพวกเขา?
หวังสือชิ่งก็ตกตะลึงเล็กน้อยตามมาด้วย ยังเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ต้นตระกูลเดียวกัน? ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน?”
หวังซือซือหัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่เคยเจอค่ะ ตอนที่คุณปู่ของฉันออกจากตระกูลหวังฉันยังไม่เกิดออกมาสักวินาทีเลยนะ!”
“เธอ!เธอคือ…” หวังสือชิ่งเบิกตาโพลงขึ้นในทันที
หวังซือซือกลับขัดจังหวะของเขา “เรื่องเหล่านั้นในอดีตก็อย่าเอ่ยถึงเลยค่ะ ตอนนี้ฉันก็เพียงแค่ได้รับการไหว้วานจากคนอื่น ให้มาช่วยทำงานก็เท่านั้นเอง”
“เรื่องอะไร?” หวังสือชิ่งเอ่ยถามโดยจิตใต้สำนึกในทันที
หวังซือซือหัวเราะเล็กน้อยขึ้นมาอีกครั้ง “หวังสือชิ่ง พวกคุณนึกว่าเฟิงหั่วกรุ๊ปอยู่ในมือของพวกคุณแล้วใช่หรือเปล่า? นึกว่าตัวเองชนะแน่แล้ว?”
ได้ยินคำพูดนี้ คนฝั่งทางหวังสือชิ่งก็พากันขมวดคิ้วขึ้น
หวังซือซือกลับหยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากในมือ ส่งให้กับไป๋หยุนเผิงอย่างสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “ชิงแก คุณสามารถลองดูอันนี้ จำไว้ว่าเก็บให้ดี”
“ชิงแก?คุณคือ…” คนที่นับได้ว่าเป็นชิงแกของไป๋หยุนเผิงคือหลี่เฉียงตงกับหลิวจื่อหยุน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ทำไมถึงได้กลายเป็นชิงแกของเขาเสียแล้ว?
ในเวลานี้ หวังซือซือก็เอ่ยกับไป๋หยุนเผิงขึ้นมาเบาๆอย่างกะทันหันว่า “อารองของหลิวเสี่ยวอิง”
ไป๋หยุนเผิงเข้าใจขึ้นมาในทันที จากนั้นรีบเปิดเอกสารดู
หวังเจียจุ้นเห็นดังนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “นั่นคือเอกสารอะไร?”
หวังซือซือจึงเอ่ย “หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ของเฟิงหั่วกรุ๊ป”
“เธอพูดอะไรนะ?” หวังเจียจุ้นเบิกตาโพลงขึ้นในทันที
ทุกคนในงานต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ในมือของพวกไป๋หยุนเผิงเดิมทีก็มีหุ้นสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้บวกกับหุ้นอีกห้าเปอร์เซ็นต์นี้อีก ทั้งหมดก็มีหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
แต่ตระกูลหวัง มีหุ้นเพียงแค่สี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ก็หมายความว่า ยังคงเป็รตระกูลไป๋ที่ชนะกว่าหน่อย
หวังเจียจุ้นเอ่ยโต้แย้งทันทีหลังจากที่ช็อก “นี่เป็นไปไม่ได้!แกจะมีหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ของเฟิงหั่วกรุ๊ปได้ยังไงกัน?”
หวังสือชิ่งสีหน้ามืดหม่นลงมา เอ่ยกับหวังซือซือว่า “ในมือตระกูลหวังมีหุ้นสี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ ตระกูลไป๋ทางนี้มีสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ในมือของโจวฉวนยังมีอีกสามเปอร์เซ็นต์ แต่โจวฉวนเพิ่งตาย สามเปอร์เซ็นต์นี้ดำเนินการเก็บรักษาชั่วคราว”
“และหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์สุดท้ายที่เหลือพวกคุณไม่มีทางรู้เลยว่าอยู่ในมือของใคร อีกทั้งต่อให้พวกคุณรู้แล้ว พวกเขาก็ไม่อาจจะขายกรรมสิทธิ์หุ้นให้กับพวกคุณ!”
“เอกสารที่พวกคุณทำไม่มีทางเป็นจริงได้เลย!”
พูดจบ ไป๋หยุนเผิงก็เลยนำเอกสารส่งให้กับเจ้าหน้าที่รับรองเอกสาร
หลังจากที่เจ้าหน้าที่รับรองเอกสารดูเสร็จ หัวคิ้วก็ค่อยๆคลายออก ดูเหมือนผ่อนคลายลงไปมาก
และหวังซือซือยิ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ยกสูงว่า “อาศัยอะไรที่พวกเราจะไม่สามารถรู้ได้? อีกทั้งฉันสามารถบอกกับพวกคุณได้อย่างแจ่มแจ้งว่า หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนี้ อยู่ในมือของตระกูลฉุงแห่งสี่ตระกูลใหญ่!”
พูดจบ สีหน้าของหวังสือชิ่งและหวังเจียจุ้นก็เปลี่ยนไปอย่างมหันต์
เย่ฮวนและคนอื่นๆกลับตกตะลึง
คนที่รับชมกลับมีสีหน้าที่สับสน พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นเบาๆ
“ตระกูลฉุงแห่งสี่ตระกูลใหญ่เป็นพวกเดียวกับตระกูลหวัง?”
“มิน่า สี่ตระกูลใหญ่มาเพียงแค่สามตระกูล!”
“ละครในวันนี้ก็สนุกเกินไปแล้วล่ะมั้ง!”
“ตอนนี้คือตระกูลฉุงทรยศแล้วหรอ?”
หวังซือซือไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน แต่เอ่ยต่อไปว่า “หากบอกว่าผู้นำตระกูลฉุงคือฉุงเฉ่าซิน งั้นพวกเขาก็ไม่มีทางขายหุ้นให้กับพวกเราจริงๆ”
“แต่น่าเสียดายมาก ตอนนี้ผู้นำตระกูลฉุงน่ะไม่ใช่ฉุงเฉ่าซิน
“งั้นคือใคร?” หวังเจียจุ้นเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ฉัน!”
เพิ่งจะพูดจบ ก็มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา จากนั้นชายวัยกลางคนที่ทั่วทั้งร่ายกายแผ่ออร่าน่าเกรงขามก็เดินออกมา
“นี่ไม่ใช่ท่านสามตระกูลฉุงหรอกหรอ?”
“ใช่!คือฉุงเฉ่าเจว๋!”
“ไม่ได้บอกว่าท่านสามร่วมมือกับกบฏทรยศชาติหรอกหรอ?”
“เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ก็แม้แต่ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆก็พากันตกตะลึงเล็กน้อยหลังจากที่เห็นฉุงเฉ่าเจว๋
ฉุงเฉ่าเจว๋มาถึงกลางงานด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ทรงพลังฟังชัดว่า “ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสมาพันธ์ธุรกิจ ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักหนานเหมินที่แท้จริงคือฉุงเฉ่าซินและฉุงโยวหมิง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตัวข้าพเจ้า ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลฉุงก็ต้องกลับคืนเป็นธรรมดา”
“หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์นี้พวกคุณไม่ต้องสงสัย ในตอนแรกเป็นฉุงเฉ่าซินที่รับซื้อเอาไว้จริงๆ แต่ตอนนี้ตระกูลฉุงมีผมเป็นหัวหน้าตระกูล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาใช้อำนาจทางการเงินของตระกูลฉุงรับซื้อมาทั้งหมดก็ควรจะมีผมเป็นผู้จัดการ”
“มีจุดหนึ่งที่พวกคุณพูดได้ไม่ผิด นั่นก็คือหุ้นนี้ผมไม่มีทางขาย!แต่จะ…”
“ให้!”
“ให้กับตระกูลไป๋ฟรีๆ ขอเพียงแค่มีผมอยู่ สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงร่วมมือกันหันกระบอกปืนไปทางศัตรูด้านนอก ก็ต้องอยู่ฝ่ายเดียวกันเป็นธรรมดา!”
พูดจบ คนในงานต่างก็เข้าใจขึ้นมา