หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงก็ชะงักนิ่งพร้อมเพรียงกัน เสียงร้องไห้ก็หยุดลงในทันที
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึง
มีเพียงเยว่เท่านั้นที่ถอนหายใจและพูดว่า: “หาที่เงียบๆให้เขาเถอะ”
ทุกคนยังคงตกตะลึงอยู่ ไป๋หยุนเผิงดึงสติกลับมาก่อน ต่อจากนั้นตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า: “เร็วเข้า! รีบหามเขาขึ้นไปบนเรือ!”
ไม่มีใครรู้ว่าเยว่มาถึงเมื่อไหร่? แล้วมาได้อย่างไร?
บางทีเขาก็อาจจะซ่อนตัวอยู่ในเรือลำหนึ่งตั้งแต่เริ่มแรก
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญคือ เขาลงมือแล้ว เขาช่วยไป๋ยี่เฟยแล้ว
ไป๋ยี่เฟยฟื้นขึ้นมา กำลังถูกคนหามเดินขึ้นไปบนเรือ
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่เต็มใจ เขาพูดด้วยความยากลำบากว่า: “อย่าไป!”
ทุกคนหยุดนิ่งในทันที
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้าขึ้นมา และมองไปที่เยว่ แล้วพูดอย่างอ่อนแอมาก: “คุณบอกคุณจะมาช่วยผม”
“นี่เป็นเพียงเล่ห์เพทุบาย”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คุณสามารถช่วยผมได้ ก็สามารถรอจนถึง…..พวกเขากลับไปทั้งหมดแล้ว ค่อยช่วย”
เยว่ยิ้มเล็กน้อยและส่ายหน้า: “ไม่ช่วยนายไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะไม่อยากช่วย”
ความหมายในคำพูดก็คือ ตอนนี้เขาอยากช่วยไป๋ยี่เฟย สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับที่เขากลัวหรือไม่กลัว
ประโยคคำพูดธรรมดาๆ กลับเผยให้เห็นความมั่นใจและความแข็งแกร่งของคนนี้
ทั้งๆที่เขารู้ว่านี่เป็นเล่ห์เพทุบายที่พุ่มเป้าหมายไปยังเขา ต่อให้เขาต้องการจะช่วยไป๋ยี่เฟยจริงๆ ก็สามารถรอจนกว่าศัตรูทั้งหมดเหล่านี้กลับไปค่อยช่วยเขา
แต่ทว่า เยว่พูดว่า เขาช่วยเขาโดยที่ไม่สนใจว่าจะเป็นเล่ห์เพทุบายหรือไม่ใช่เล่ห์เพทุบาย และก็ไม่มีทางกลัวคนเหล่านี้ เพียงแต่ว่าเขาอยากจะช่วยก็ช่วย ไม่อยากช่วยก็ไม่ช่วยเท่านั้นเอง
ไป๋ยี่เฟยไม่ใช่ว่าเข้าใจความคิดของเขาดีมากนัก เขาเพียงแค่สงสัย เดิมทีเยว่ที่ไม่อยากช่วยเขา ทำไมจู่ๆก็อยากจะช่วยเขา?
ในเวลานี้ เรือที่เดิมทีกำลังจะออกไปก็หยุดลงทุกลำ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ออกมาทั้งหมด
แต่จ้องมองไป๋ยี่เฟยอย่างเงียบๆ มองดูไป๋ยี่เฟยถูกหามเข้าไปในห้องโดยสารเรือ และก็มองดูเยว่เดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ
ไป๋ยี่เฟยถูกหามเข้าไปในห้องรับรองห้องหนึ่ง หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงก็รีบตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
แต่ตอนที่อยู่ที่หน้าประตู ถูกเยว่ห้ามไว้“ผู้หญิงห้ามเข้าไปเข้าใน”
หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงกังวลใจในทันที
ไป๋หยุนเผิงก็ปลอบทั้งสองคน: “ไป๋ยี่เฟยยังมีโอกาสรอด เชื่อฟังคุณผู้ชายท่านนี้เถอะ”
ในเวลานี้ เยว่ก็พูดว่า: “ขอโทษด้วย ฉันพูดผิดแล้ว แต่ทุกคนก็ห้ามเข้าไปข้างใน”
ไป๋หยุนเผิง: “…..”
……
ไป๋หยุนเผิงและคนเหล่านั้นต่างก็ไม่รู้ว่าเยว่เป็นใคร และผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์คงจะมีแต่ซินชิวและจื่ออีที่เคยเจอเยว่ แม้แต่เหลียงหมิงเยว่และจีไซก็ไม่เคยเจอมาก่อน
แต่ไม่ว่าจะเคยเจอเขาหรือไม่เคยเจอ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
พวกเขาเห็นกับตาตัวเองว่าชายหนุ่มคนนี้วางมือไว้บนหน้าอกของไป๋ยี่เฟย ต่อจากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ฟื้นขึ้นมา
ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร เยว่บอกแล้วว่าเขาสามารถช่วยไป๋ยี่เฟยได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องสามารถช่วยได้อย่างแน่นอน
ในเวลานี้ หยู่โม่ที่แต่งตัวสวยงามเล็กน้อยก็เดินออกมาจากฝูงชน เธอยื่นกระเป๋าเดินทางสีแดงใบเล็กให้เยว่
หลังจากที่เยว่รับมาแล้ว เขาก็กวาดสายตามองไปรอบหนึ่งและหยุดอยู่ที่เรือที่อยู่ไม่ไกล
เขาพูดอย่างราบเรียบกับคนเหล่านั้นว่า: “มีเพียงช่วยให้เขารอด พลังของฉันถึงจะลดลงไป แต่ถ้าหากถูกขัดจังหวะ ไป๋ยี่เฟยจะตาย แต่พลังของฉันก็จะไม่เสียหายแม้แต่น้อย ”
“ดังนั้น ไม่ต้องกังวล”
หลังจากที่พูดจบเขาก็เอากระเป๋าเดินทางใบเล็กเข้าไปในห้องโดยสารเรือ
และไป๋หยุนเผิงรีบให้คนล้อมเรือทั้งลำ แต่ละคนท่าทางระมัดระวัง
สิ่งที่เยว่พูดเมื่อกี้นี้ทำให้ไป๋หยุนเผิงรู้ว่า กระบวนการช่วยชีวิตคนนั้นอันตรายมาก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องปกป้องพวกเขาในช่วงเวลานี้ให้ดี ห้ามปล่อยให้พวกเขาโดนขัดจังหวะ
และคนของตัวเองที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้ความสำคัญของกระบวนการนี้ ดังนั้นทั้งหมดจึงเฝ้าระวัง สาบานให้ตายก็ไม่ให้คนนอกรบกวน
สิ่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงคือ จื่ออีก็เดินออกมาจากในเรือ และยืนอยู่ใต้เรือลำนี้ของไป๋หยุนเผิงพวกเขา
ความหมายคือถ้าต้องการขัดจังหวะเยว่ที่ช่วยไป๋ยี่เฟย ก็จำเป็นต้องเอาชนะเธอ
……
ในห้องรับรองของห้องโดยสารเรือ
ไป๋ยี่เฟยนอนลงบนเตียงอย่างอ่อนแรงทั่วทั้งร่างกาย สีหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ การหายใจถี่มาก ไม่ต้องตั้งใจฟังก็สามารถได้ยินเสียงการหายใจของเขา
หลังจากที่เยว่เดินไปถึงตรงหน้าของเขา ก็เปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็ก หยิบขวดยานัตถุ์ขนาดเล็กออกมา
และภายในขวดยานัตถุ์มีของเหลวสีเขียวที่ไป๋ยี่เฟยเคยประคบก่อนหน้านี้
เยว่เปิดปากของเขาออกในทันที จัดวางขวดยานัตถุ์ให้ตรงกัน ต่อจากนั้นเทของเหลวเข้าไป
ความรู้สึกเหมือนกันกับตอนนั้น เข้าสู่ลำคอแสบร้อนเป็นอย่างมาก ไป๋ยี่เฟยสำลักจนไอ
เยว่พูดว่า: “อดทนไว้”
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยดื่มไปคำหนึ่งก็สำลัก ต่อจากนั้นไอจนกระอักของเหลวออกมา เยว่ทำได้เพียงป้อนให้เขาใหม่อีกคำหนึ่ง
“เดี๋ยวฉันจะทะลวงเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายของนาย กระบวนการจะเจ็บปวดมาก นายต้องอดทนไว้ อดทนไหวนายก็จะรอด อดทนไม่ไหว งั้นก็ฉันจนปัญญาแล้ว”
“จนปัญญาหมายความว่ายังไง?”ไป๋ยี่เฟยถามอย่างอ่อนแรง
เยว่พูดว่า: “ความหมายคือนายยังต้องตาย”
ไป๋ยี่เฟยชะงัก
ต่อจากนั้น เยว่เหยียดนิ้วชี้ของเขาออกมา ต่อจากนั้นแตะไปที่หน้าท้องส่วนล่างของไป๋ยี่เฟยเบาๆ ของเหลวที่เพิ่งเข้าสู่ร่างกายของไป๋ยี่เฟยก็ไหลไปไหลมาอย่างรวดเร็ว
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกได้ชัดเจนว่าของเหลวในร่างกายไหลไปไหลมาและปะทะกัน เขารู้สึกทรมานมาก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ของเหลวก็เป็นเส้นคดเคี้ยวไปข้างหน้า มาถึงตำแหน่งของนิ้วเยว่
ต่อจากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างฉีกขาด
“อ๊ากกกก!”
ความเจ็บปวดแบบนี้เป็นสิ่งที่ไป๋ยี่เฟยไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาถึงขนาดน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย น่าจะพูดได้ว่าเหมือนกับกำลังฉีกวิญญาณของเขาออกจากกัน ดังนั้นเขาควบคุมไม่ได้ด้วยซ้ำ
เยว่พูดอย่างราบเรียบว่า: “นายอดทนต่อความเจ็บปวดแบบนี้ได้ หลังจากที่มีชีวิตอยู่รอดก็จะเป็นประโยชน์ต่อนายเป็นอย่างมาก ถ้าโชคดียังสามารถเข้าสู่แดนเทพยุทธ์ได้”
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไป๋ยี่เฟยกำลังเจ็บปวดไม่มีความคิดที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ รู้เพียงว่าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ความเจ็บปวดแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตายไปเสียยังจะดีกว่า
แต่ว่าเขาก็ยังอดทนไว้ เขาสะบัดมือไปมา ไม่รู้ว่าจับโดนอะไร ก็ยัดใส่ในปากทันที และกัดอย่างรุนแรง
ต่อจากนั้น นิ้วมือของเยว่แตะไปที่บนหน้าอกของไป๋ยี่เฟย
“อ๊ากกกก!”
ไป๋ยี่เฟยก็ร้องโอดโอยอีก ร้องจนแทบจะขาดใจ และเจ็บปวดอย่างยิ่ง
และเสียงร้องโอดโอยดังออกมาจากห้องโดยสารเรือ คนที่นอกห้องโดยสารเรือได้ยินแต่ละคนก็ตัวสั่นเทาขึ้นมา
หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงก็รู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้น ทั้งสองต่างคนต่างประคองซึ่งกันและกัน เช็ดน้ำตาอย่างไม่หยุดหย่อน
ไป๋ยี่เฟยไม่เคยร้องโอดโอยแบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้มาก่อน ก็ไม่เคยร้องแบบนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่า ตอนนี้ต้องอดทนกับความเจ็บปวดกว่าก่อนหน้านี้พันหมื่นเท่า
หลิวเสี่ยวอิงปลอบใจตัวเองไปด้วย ปลอบใจหลี่เสว่ไปด้วย“เขาต้องไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…..”
อันที่จริงไม่เพียงแค่ผู้คนที่อยู่บนเรือลำนี้ของพวกเขาเท่านั้นที่รู้สึกไม่สบายใจ แม้แต่คนที่อยู่บนเรือลำอื่นหลังจากที่ได้ยิน หนังศีรษะก็ชาอย่างฉับพลัน
ในเวลานี้ หยู่โม่มาถึงตรงหน้าของหลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิง เธอมองดูสองคนที่ร้องไห้ได้สวยงามมากอย่างสบายอกสบายใจ และยังพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “สวยมากจริงๆ!”
ต่อจากนั้นเธอก็พูดว่า: “พวกเธอก็วางใจเถอะ ไป๋ยี่เฟยมีสาวสวยอย่างพวกเธอสองคนเฝ้าอยู่ คงจะไม่ยอมตายอย่างแน่นอน”
“คุณ…..คุณเป็นใคร?”หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงหยุดร้องไห้ครู่หนึ่ง มองไปที่หยู่โม่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หยู่โม่เอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “พูดตามความจริง พวกเธอหลานสะใภ้ลืบของฉัน แต่ก็ไม่ใช่ญาติแท้ๆ นับดูแล้ว น่าจะเป็นคนที่ยี่สิบสอง คุณย่าของคุณปู่พวกเธอ”
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ
พวกเธอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังพูดจาบ้าๆ เห็นได้ชัดว่าสมองมีปัญหา และผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนส่งยาให้ผู้ชายคนเมื่อกี้นี้ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาก็มีปัญหาด้วยเหรอ?
ให้คนที่มีปัญหาไปช่วยไป๋ยี่เฟย สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองคนเริ่มกังวลใจขึ้นมา
แต่ท่าทีของไป๋หยุนเผิงกลับตรงกันข้ามกัน หัวใจของเขาเต้นแรง และความรู้สึกก็เริ่มจริงจังขึ้นมา