บทที่ 12 พิสูจน์ด้วยการกระทำ(1)
หลินเวยมี่ตัวแข็งทื่อ ใบหน้าของเธอซีดเซียวทันที ฉู่เฉินซี ทำเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้? ความกังวลออกมาจากใจเธอ พร้อมกับจ้องมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
ดวงตาของเขาดูอันตรายขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาตั้งใจมองไปที่เธอโดยเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นคุณชายเฉินเอามือไปวางบนขาของเธอ ดีมาก เธอดีมากจริงๆ ไม่เจอกันแค่วันเดียว ก็ไปยั่วยวนผู้ชายคนอื่นแล้วหรอ?
ตอนนี้อากาศภายในห้องราวกับมีควันบางๆ อยู่ ตอนนี้เขาละสายตาจากเธอ ไปมองที่หลินจ่านหงพร้อมกับคำนับเรียก “พี่เขย”
เสียงเรียกพี่เขยของเขา ราวกับเสียงฟ้าผ่า หลินจ่านหงที่แท้เป็นน้องชายของน้าหราน? เธอมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ และก็มีความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลัง
“เฉิน เธอมาแล้ว” น้าหรานเดินออกมาจับแขนฉู่เฉินซี “ทำไมอยู่ๆก็เข้ามาแบบนี้ล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าฉู่เฉินซีเองก็ไม่พอใจการต้อนรับของเธอ และส่งสายตาไปที่หลินเวยมี่
“มรเรื่องส่วนตัว” เขาเดินหนีออกมาจากน้าหราน พร้อมกับยิ้มให้หลินจ่านหง แล้วพูดออกมาว่า “พี่เขย คงต้องรบกวนพี่สักสองสามวันแล้ว”
“ไม่ลำบากอะไรเลย หลินซินหราน หลินเวยมี่ นี่คืออาเล็ก” หลินจ่านหงแนะนำพร้อมกับรอยยิ้ม
หลินเวยมี่
หน้าซีดมองไปที่ผู้ชายที่ยิ้มอย่างเฉยเมย พร้อมกับเรียกเขาว่า อาเล็ก แต่เขากลับไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรเลย
“เธอกำลังดูตัว?” แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง พร้อมกลับถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“ใช่! คนนี้คือคู่หมั้นของฉัน” หลินเวยมี่โอบแขนคุณชายเฉิน พร้อมกับมองเขาอย่างท้าทาย
“โอ้? คู่หมั้น?” เขาพูดคำเหล่านี้อย่างละเอียด พร้อมกับมองไปที่หลินเวยมี่ ยิ่งมองยิ่งดูเหมือนกับมีหมอกหนาปกคลุม แต่ไม่นานเขาก็ต้องละสายตาจากเธอ ไปที่คนอารักขาที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางของเขาเข้ามา
หลินเวยมี่ล้มตัวลงนอน ตอนนี้เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอสับสนวุ่นวาย ผู้ชายคนนี้ที่แท้แล้วเป็นอาเล็กของเธอ? เรื่องราวยิ่งกว่าบทละครในทีวีเสียอีก
เธอดึงผมแล้วดึงผมอีกด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับใบหน้าที่เบื่อหน่าย ทันใดนั้นที่ระเบียงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
เธอหันศีรษะไปดูอย่างตื่นตระหนก มองไปเห็นเงาดำผ่านไป ยังไม่ทันที่เธอจะได้ร้องออกมา เงาดำนั้นก็ได้เข้ามา เอามือปิดปากของเธอไว้
กลิ่นหอมสดใหม่ของใบมิ้นท์เข้ามา แต่กลับยิ่งทำให้หลินเวยมี่ไม่สบายใจ กลิ่นของคนแปลกหน้านี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ไม่ใช่กลิ่นจากคนที่เธอเรียกว่า ‘อาเล็ก’ หรอ?
“ฉันเอง” น้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมาจากด้านหลัง
หลินเวยมี่ รู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างของเธอเย็นเฉียบ หลังของเธอแข็งทื่อ ไม่มีการดิ้นรน ปล่อยให้เขากอด พร้อมกระพริบตาไปมา มองไปที่ระเบียง ในใจคิดว่าถ้าเธอร้องออกมาเขาก็คงหนีไปไหนไม่ได้ใช่ไหม?
เมื่อคิดได้เธอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความคิดของเธอ ก็มีเสียงหนึ่งลอยมาที่หูของเธอ “ร้องตามใจเธอเลย อย่างไรฉันก็ไม่เป็นห่วงชื่อเสียงอะไรอยู่แล้ว”
ไอ้ผู้ชายบ้าคนนี้ ดูแล้วเขาต้องกินเธอแน่เลย เมื่อคิดได้เธอจึงไม่ได้ส่งเสียงร้องออกไป
“หืม เธอคิดผิดแล้วล่ะ ฉันไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร จะเสียหายอีกกี่ทีก็ไม่ได้เป็นอะไร? แต่คุณเองน่ะ เป็นผู้ใหญ่ ดึกดื่นมาอยู่ที่ห้องของผู้น้อย ถือว่าไม่นับถือตัวเองเลย” หลินเวยมี่หัวเราเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน และมองอย่างดูถูกไปที่ผู้ชายเรียบง่ายคนนี้
ดวงตาทั้งสองของเขาหรี่แคบลง พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก และพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมยว่า “ใช่หรอ? งั้นเธอร้องเลยสิ”
เหมือนกับหมูที่ตายแล้วถึงไม่กลัวน้ำร้อน ถ้าเกิดว่าไม่กลัวว่าหลินจ่านหงจะโมโหจนคลั่ง เธอจะไม่ร้องหรอ? เธอไม่กล้าร้องออกไปจริงๆ
“คุณอา! ฉันอยากนอนแล้ว กรุณาออกไปด้วย” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปที่ผู้ชาย พร้อมกับใบหน้าที่หมดความอดทน
เขามาปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้เธอปวดหัวพอแล้ว ตอนนี้ยังมานอนบนเตียงของเธออีก!
“งั้นมานอนด้วยกัน” เขาจ้องมองเธออย่างดุเดือด
หลินเวยมี่รีบห่อชุดนอนของเธอเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมองเขาอย่างระมัดระวัง
“มีอะไรต้องปกปิดด้วย ในสายตาของฉัน ไม่ว่าเธอจะสวมเสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหน ก็เหมือนกันหมด” เขาหัวเราเบาๆ พร้อมกับกระดิกนิ้วเรียกเธอ “มานี่”
“ไร้ยางอาย!” หลินเวยมี่ เธอหน้าแดงกัดฟันด่าเขา ใบหน้าเล็กๆของเธอเป็นสีแดงเพราะอายกับคำพูดของเขา เธอไม่เข้าใจว่าคำพูดอะไรก็ออกมาจากปากของเขาได้หรอ?
“มานี่ ถ้าไม่เข้ามาฉันจะลุกไปจับเธอมาแล้วนะ” สายตาของเขาแสดงถึงความใจร้อน แล้วเอ่ยปากอย่างหยิ่งยโส
“ดูแล้ว เธออยากให้พวกเขารู้เรื่องของพวกเรา” ฉู่เฉินซียิ้มเบาๆ มองไปที่ใบหน้าพยายามต่อสู้ของหญิงสาวที่ยืนไม่ไกลนัก
“มีอะไรก็พูดมา ต้องให้ฉันไปทำอะไร?” หลินเวยมี่กัดริมฝีปาก ในใจก็สงสัยเกี่ยวกับครอบครัวของฉู่เฉินซี ทำไมถึงได้มาแสดงตัวเป็นพี่สาวน้องชายแบบนี้?
น้าหรานคนเดียวก็ทำให้เธอปวดหัวแล้ว ตอนนี้ดีเลย มีปัญหาเข้ามาเพิ่มอีก
“มานี่ มาคุยถึงคู่หมั้นเธอ”
คุยถึงคู่หมั้นเธอ? เธอมองเขาอย่างตื่นกลัว รู้สึกได้ความอดทนของเขาดูเหมือนจะค่อยๆหมดไป นอกจากนี้ก็ไม่อยากให้หลินจ่านหงรู้อะไรอีก