บทที่ 47 เหตุสุดวิสัยที่สวยงาม(1)
“พี่สาว พี่ชาย มากันหมดเลยหรอ” กู้จุนเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่กระสับกระส่าย ยกชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก
“นายเป็นอะไรไป” โจ่วซินเห็นว่าไม่ค่อยปกติ ก็เลยรับถาม ปกติเขาดูแฮปปี้มาก ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
โจ่วชิงช๋วนจ้องมองกู้จุนเฟิง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย “พี่สาว เข้าห้องไปก่อนเถอะ ผมมีเรื่องอยากจะถามพี่ชาย”
โจ่วซินหันมามองกู้จุนเฟิง และเดินเข้าห้องไปด้วยความกังวล
บรรยากาศภายในห้องรับแขกเงียบสงัด กู้จุนเฟิงนั่งอยู่หน้าเขา สองคนนี้ไม่มีใครเริ่มพูดก่อนเลย เอาแต่นั่งจ้องตากัน
“พี่ชายผมเจอหลินเวยมี่แล้ว” โจ่วชิงช๋วนจ้องไปที่แก้วชาและวางแก้วชาลง และเงยหน้าขึ้นมามองเขา สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่มันกลับนิ่งสงบอีกต่างหาก ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“พี่รู้แล้ว” ในที่สุดกู้จุนเฟิงก็ถอนหายใจ หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องหนึ่งมวน จุดไฟ ปกติถ้าเจอเรื่องน่าปวดหัวเขาถึงจะสูบ แต่ตอนนี้ควบคุมไม่ได้แล้ว
“อีกอย่างฉันก็รู้ด้วยว่านายเอาแหวนไปใส่บนนิ้วของเธอ” พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆกู้จุนเฟิงก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็จ้องมองไปที่เขา “นายตัดสินใจแล้วหรอ”
โจ่วชิงช๋วนถูกเขาจ้องมองจนรู้สึกขาดความมั่นใจ เลยเอามือถูไม่หยุดที่แหวน “เธอไม่เอาแหวน เลยจะให้ผมถอดออก”
กู้จุนเฟิงฟังถึงตรงนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูสบายใจขึ้นมา เขาหยิบบุหรี่มาเคาะที่ถาดรองก้นบุหรี่ “งั้นก็ออกห่างจากเธอหน่อย”
“พี่ชาย เธอกับฉู่เฉินซีมีเป็นอะไรกันหรอ” โจ่วชิงช๋วนถาม ถ้าหากว่าจำไม่ผิดละก็ผู้ชายยคนนั้นก็คือฉู่เฉินซีแต่ทำไมเขาถึงบอกว่าเป็นผู้ชายของหลินเวยมี่
“ทำไมถามแบบนั้นละ นายเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันงั้นหรอ”
“ฉู่เฉินซีเป็นคนพาตัวหลินเวยมี่ไป” โจ่วชิงช๋วนส่ายหัวบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้มใจ “ทำตอนนั้นผมปล่อยให้หลินเวยมี่ไปกับเขานะ”
พอกู้จุนเฟิงได้ยิน เขาก็หลับตาปี๋ กำหมัดแน่น ในดวงตาของเขามันกลบเกื่อบความทุกข์เอาไว้ไม่ได้ ตอนนี้เอาเสียใจมาก เขาไม่ควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกใช่มั้ย
“พี่ชาย พี่กับหลินเวยมี่”
“พี่ใกล้จะหมั้นกับโจ่วซินแล้ว” กู้จุนเฟิงพูดตัดบทโจ่วชิงช๋วน ไม่ให้เขาพูดต่อไป แต่ว่าเขากังวัลอะไรกันแน่ กังวัลว่าโจ่วชิงช๋วนจะพูดในสิ่งที่เขาคิดออกมางั้นหรอ
โจ่วชิงช๋วนจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “งั้นก็ได้”
กู้จุนเฟิงรู้สึกสบายใจ แค่คิดว่าบรรยากาศตรงนี้มันกดดันเกินไป ทำให้เขาอึดอัด
“พี่ไปก่อนนะ”พอพูดเสร็จเขาก็ไม่หันหน้ากลับมาและเดินออกไป
“พี่ชาย หวังว่าพี่จะไม่ทำร้ายเธอ เธอเป็นคนบริสุทธิ์”
กู้จุนเฟิงหน้านิ่งอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดเดินเพราะคำพูดของเขา บริสุทธิ์งั้นหรอ คนที่บริสุทธิ์คนนั้นเป็นใครกันนะ
ในห้องสีฟ้า มีผู้หญิงคนนึงนอนหลับอย่างปล่อยภัยอยู่ในห้องนั้น ขนตาของเขาขยับอยู่ตลอดเวลา และคิ้วก็ขมวดราวกับว่าเธอกำลังมีเรื่องกังวลใจ
แต่อีกห้องนึงนั้น ฉู่เฉินซีนั่งอยู่บนเก้าอี้จ้องมองผู้หญิงที่กำลังหลับใหล เขาจ้องเธอราวกับว่าอยากจะมองเธอให้ทะลุปุโปร่ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จิตใต้สำนึกของฉู่เฉินซีมองไปที่ผู้หญิง เธอขมวดคิ้วแน่น แสดงถึงการถูกรบกวนจากเสียงเคาะประตู
เขารีบเดินออกตตรงประตู และค่อยๆจับลูกบิด
เปิดประตู และเห็นหยิ่งที่ทำหน้านิ่งยืนอยู่หน้าประตู “เจ้านาย ตรวจสอบเจอแล้ว”
“คือใคร” เขารีบถามออกไป และดูเหมือนว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ เขาค่อยๆปิดประตู และถามใหม่อีกรอบ “เป็นใครกันแน่”
“คือเย่เซียงถง”
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ “เรื่องนี้นายไปจัดการ ให้เธอชดใช้ในสิ่งที่เธอทำ”
หยิ่งพยักหน้า แล้วหันหลังเดินออกไป
เขาเปิดประตูเบาๆ แต่กลับพบว่าหลินเวยมี่ตื่นแล้ว เธอหน้าแดงและใช้ผ้าห่มคลุมตัวไว้เหมือนบ๊ะจ่าง
“ไม่ร้อนหรอ” ฉู่เฉินซียิ้มมุมปาก มองดูหน้าที่แดงของเธอ ห้ามใจไม่อยู่เลยหยิกเธอ
หลินเวยมี่ที่หน้าแดงจ้องไปที่เขา และห่มตัวให้แน่นยิ่งกว่าเดิม “ฉู่เฉินซี เสื้อผ้าของฉันละ”
ฉู่เฉินซีขึ้นมาบนเตียง และดึงผ้าห่มของเธอออก “เสื้อผ้าหรอ ทิ้งไปแล้ว ผมคิดว่าคุณชอบนอนแก้ผ้า”
“คุณนั้นแหละที่ชอบนอนแก้ผ้า” หลินเวยมี่เถียงกลับ เธอรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในรถ หน้าของเธอก็แดงขึ้น
“คุณผู้หญิง คุณจะไม่พูดเรื่องเมื่อวานหน่อยหรอ” แววตาของฉู่เฉินซีเหมือนหมาป่าจ้องมองไปที่เธอ สีหน้าไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ สีหน้าที่เข้าใจยากของเขาดูเหมือนว่าเขากำลังโกรธอย่
หลินเวยมี่หดคอ ยิ่งฉู่เฉินซีทำท่านิ่งแบบนี้ เธอก็ยิ่งเดายาก เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณจะให้ฉันพูดอะไร”