บทที่ 224 คำที่ผู้ชายกลัวที่สุดคือคำว่าไม่ได้
ฉู่ชิ่งเจ๋อหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะสดใสก้องกังวานอยู่ในรถ ครั้งนี้เขาหัวเราะออกมาจากใจ และเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยตัวตนของเขาต่อหน้าหลินเวยมี่
“ดูเหมือนเธอจะเข้าใจพวกเรามากเลยนะ” ฉู่ชิ่งเจ๋อเก็บซ่อนความขบขัน แล้วทอดมองไปยังหลินเวยมี่ ประเมินเธออย่างจงใจ “ตอนนี้ฉันเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมฉู่เฉินซีถึงชอบเธอ”
“อืม ทำไมล่ะ” หลินเวยมี่ถามอย่างสงสัย ที่จริงเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมฉู่เฉินซีถึงชอบเธอ เธอไม่มีอะไรดี ทั้งน่าเบื่อ และขี้ระแวงมากด้วย
“เพราะเธอเป็นคนซื่อตรง” ฉู่ชิ่งเจ๋อขยับตัวชิดพนักที่นั่ง แต่สายตากลับมองไปข้างนอก
“อาจจะนะ”
หลินเวยมี่เผยยิ้มบางที่มุมปาก ที่จริงเธอก็ใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงจริงๆนั่นแหละ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องขายความรู้สึกของตัวเองเพื่อบางสิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์ เธอถึงได้เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงที่สุดในโลกนี้
“ฉู่ชิ่งเจ๋อ นายเคยคิดบางไหม ว่าสิ่งที่นายใฝ่หามาหลายปีมันคืออะไรกันแน่” หลินเวยมี่เบือนหน้าไปมองเขา ในแววตาไม่มีอารมณ์ใดๆเลย แต่กลับทำให้คนรู้สึกสงบใจ
“อืม ?” ฉู่ชิ่งเจ๋อชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เลย ดังนั้นพอถูกหลินเวยมี่ถามเข้า ก็เลยไม่รู้จะตอบยังไงดี
สิ่งที่เขาใฝ่หาก็น่าจะเป็นการเอาชนะฉู่เฉินซีล่ะมั้ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็มักจะเอามาเปรียบเทียบกับฉู่เฉินซีเสมอ และไม่ว่าเขาจะทำได้ดีขนาดไหน ก็ยังเทียบเค้าไม่ได้อยู่ดี การเอาชนะฉู่เฉินซีให้ได้คงจะเป็นสิ่งที่เขาใฝ่หาล่ะมั้ง
“คุณหลิน แต่ละคนก็มีต่างก็มีจุดหมายคนละอย่าง และเลือกพยายามเพื่อเส้นทางนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลังหรอกนะ “ฉู่ชิ่งเจ๋อยิ้มอ่อนๆ ในแววตาแฝงความท้าทาย
ต่อสู้กับฉู่เฉินซีมาตั้งนานหลายปีแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลังเลยสักนิด
“คนทุกคนต่างก็มีสิทธิ์เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ฉันไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปเก้าก่ายนาย ฐาลี่ก็แค่รู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะแต่งงานกับนายดีหรือเปล่า นายอาจจะต้องพยายามสักหน่อยแล้วล่ะ” หลินเวยมี่พูดจบก็ผลักประตูเดินจากไปทันที
ในความคิดของหลินเวยมี่ ไม่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์เลือกความสุขของตัวเอง ในเมื่อเขาโยนความสุขนั้นทิ้งไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง
ในตอนนี้เวลานี้ เธอเพียงแค่อยากจะอยู่กับฉู่เฉินซีอย่างมีความสุข แค่นั้นจริงๆ
ตอนที่หลินเวยมี่ไปรับเสี่ยวหลง ก็พบว่าฉู่เฉินซีไปยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนอยู่ก่อนแล้ว สวมแว่นกันแดดอันใหญ่ กระดุมบนเสื้อเชิ้ตถูกปลดอยู่หลายเม็ด ทำเอาพวกคุณแม่บ้านแถวนั้นแตกตื่นมุงดูกันยกใหญ่
หลินเวยมี่สีหน้าบูดบึ้งยืนแอบอยู่ที่มุมเล็กๆมุมหนึ่ง คอยชะโงกไปมองเขาเป็นระยะๆ
อาจเป็นเพราะสายตาของตัวเองดุดันจนเกินไป ฉู่เฉินซีที่ยืนพิงข้างรถเก๊กหล่ออยู่ตรงนั้นเลยสัมผัสถึงตัวตนของเธอได้ทันที
”ไง มารับลูกเหรอ” เขาถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาไปหนึ่งที “ใช่ค่ะ”
“ที่รัก ทำไมเย็นชาอย่างนี้ล่ะ” ฉู่เฉินซีเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเชยคางเธอขึ้นมา
หลินเวยมี่มองดูรอบๆตัวอย่างประหม่า แล้วก็พบว่าผู้ปกครองหลายๆคนกำลังจ้องมาที่พวกเขาอย่างที่คิดไว้
“เลิกเล่นตลกได้แล้ว เดี๋ยวลูกชายฉันออกมาเห็นมันจะแย่เอา” หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาไปหนึ่งที เบี่ยงตัวไปข้างๆ เห็นได้ชัดว่าต้องการวาดเส้นระยะห่างกับเขาอย่างชัดเจน
ฉู่เฉินซีไม่สนใจเลยสักนิด กับมือของเธอไว้แน่น แล้วดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมกอด
“จะกลัวอะไร ยังไงฉันกับลูกชายของเธอก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอกันสักหน่อย”
หลินเวยมี่จ้องเขาอย่างดุร้าย พูดกระซิบเสียงเบา “ฉู่เฉินซี! ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ มันดูไม่ดีนะ”
“ฉันแค่กอดภรรยาของตัวเองจะต้องกลัวอะไรอีก” เสียงของเขาดังมาก จนคนทั้งหมดที่อยู่รอบตัวได้ยินกันทั่ว พวกที่เคยแสดงสีหน้าดูแคลนก่อนหน้านี้ก็อ่อนลงไปไม่น้อย
หลินเวยมี่บิดแขนเขาแรงๆหนึ่งที แล้วกระซิบเสียงเบา “ฉู่เฉินซี วันนี้นายลืมกินยาก่อนออกจากบ้านใช่ไหม”
“อืม รอเธอกลับบ้านไปป้อนฉันไง” เขายิ้มพร้อมขยับแนบชิดเธอ แววตาเต็มไปด้วยแสงแห่งความอบอุ่น
“เลิกเล่นได้แล้ว อีกประเดี๋ยวเสี่ยวหลงก็จะเลิกเรียนแล้ว” หลินเวยมี่บิดตัวพร้อมกับจ้องเขาไปด้วย
“ก็ได้ จูบฉันทีหนึ่งฉันก็จะเลิกเล่น” ฉู่เฉินซียิ้มพร้อมกับชี้ไปที่ริมฝีปาก
หลินเวยมี่กระแอมแล้วมองไปรอบๆตัว แล้วใช้มือตีเขาเบาๆหนึ่งที เอ่ยพูดเสียงเบา
“ฉู่เฉินซี กลับไปฉันจะจัดการกับนายแน่”
ฉู่เฉินซีหัวเราะออกมา ไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วโรงเรียนก็เลิกเรียนพอดี สายตาผู้คนรอบตัวกลับไปจับจ้องที่ตัวของเด็กๆ และไม่ได้สนใจว่าพวกเขาสองคนจะทำอะไรกันอีกต่อไป
ฉู่เฉินซีดึงเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด จูบเธออย่างรวดเร็วทีหนึ่ง แล้วปล่อย
“ตาบ้า แอบจู่โจมฉันอีกแล้วนะ” หลินเวยมี่กัดฟันถลึงตาใส่เขาไปหนึ่งที ใบหน้าน้อยๆแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“หม่าม้า” เสี่ยวหลงเดินไปข้างตัวเธอ แอบมองฉู่เฉินซีทีหนึ่ง ใบหน้าน้อยๆเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “หม่าม้า ทำไมคุณลุงประหลาดคนนี้มาอีกแล้วล่ะ”
มุมปากของหลินเวยมี่กระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ได้อธิบายอะไร อุ้มตัวเขาขึ้นมาเดินไปทางถนนทันที
“นี่ คนตัวโตๆอย่างฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน พวกเธอไม่เห็นหรือไง” ฉู่เฉินซีดึงเสื้อของเธอเอาไว้ “ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งพวกเธอเอง”
“คุณลุงประหลาด คำนี้เธอเป็นคนสอนเขาเหรอ” ฉู่เฉินซีถามด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
หลินเวยมี่กระแอมทีหนึ่ง แล้วเบือนหน้าหนีไม่ตอบคำถาม
ฉู่เฉินซียิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าหลินเวยมี่จะต้องสอนแบบนี้แน่ๆ เมื่อคิดได้ว่าภาพลักษณ์คุณพ่อผู้ยิ่งใหญ่ถูกหลินเวยมี่ทำลายจนหมดสิ้นแล้วแบบนี้ ในใจก็แทบอยากจะหยิกเธอให้ตายไปเลย
“ไม่ใช่หม่าม้าสอนหรอก คุณดูแปลกประหลาดอยู่แล้วต่างหาก” เสี่ยวหลงรีบเสริม พูดปกป้องหลินเวยมี่
หลินเวยมี่ยกนิ้วหัวแม่มือให้กับเสี่ยวหลง “เสี่ยวหลง เดี๋ยวตอนบ่ายหม่าม้าพาไปกินไอศกรีมนะคะ”
“ทำอะไรพวกเธอไม่ได้จริงๆ” ฉู่เฉินซีส่ายหัว เปิดประตูรถออกให้พวกเขาเข้าไปนั่ง
ฉู่เฉินซีส่งพวกเขากลับบ้านโดยสวัสดิภาพ จากนั้นก็เข้าไปในบ้านอย่างสง่าผ่าเผย แล้วยังเปิดเอาน้ำผลไม้ในตู้เย็นออกมาดื่มอย่างไม่เกรงใจ
“นี่ คิดว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง” หลินเวยมี่ชำเลืองมองเขาทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างหงุดหงิด
“ที่ๆภรรยากับลูกชายฉันอยู่ก็ต้องเป็นบ้านฉันสิ ไม่ถูกตรงไหน” ฉู่เฉินซียิ้มพร้อมกับเดินไปข้างตัวเธอ “ทำไม หรือเธอยังไม่คิดจะยอมรับอีก?”
“แต่นายก็ต้องเหลือกันชนไว้ให้ฉันบ้างสิ” หลินเวยมี่เบ้ปากอย่างไร้ทางเลือก เธอจะต้องอธิบายกับเสี่ยวหลงยังไงดี ว่าที่จริงแล้วฉู่เฉินซีเป็นพ่อแท้ๆของเขา
เรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองมันวุ่นวายไปหมด แล้วเด็กตัวเล็กๆอย่างเสี่ยวหลงจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
“ฉันกลัวว่าจะเกิดความกดดันในจิตใจของเสี่ยวหลง” หลินเวยมี่ถอนหายใจออกมา แย่งเอาน้ำผลไม้ในมือของเขาไปดื่มคำหนึ่งก่อนจะคืนมันกลับไปให้เขา “อีกอย่างทางที่ดีนายก็อย่ามาปรากฏตัวที่บ้านฉันอีก เดี๋ยวจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้นได้”
“ไม่ได้” ฉู่เฉินซีปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “เธอไม่เปิดโอกาสให้พวกเราสองพ่อลูกได้อยู่ร่วมกันเลย ยิ่งปิดไว้แบบนี้ยิ่งจะเป็นการทำร้ายเขามากขึ้นไปอีก เธอไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปพูดกับเขาเอง”
หลินเวยมี่มองเขาด้วยความเคลือบแคลงใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวง “นายจะทำได้เหรอ”
เขาใช้นิ้วมือหยุดเธอไว้ แล้วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “อย่าพูดคำว่าทำไม่ได้กับผู้ชาย ไม่ได้ก็ต้องได้”
หลินเวยมี่รู้สึกหมดหนทางกับเขาจริงๆ เลยมองค้อนเขาไปหนึ่งที ก่อนเดินเข้าห้องครัว “อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวทำให้นายกิน”
“ตอนนี้ฉันอยากจะกินแค่เธอ”
พึ่งจะสิ้นเสียง หลินเวยมี่ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังร้อนผ่าวขึ้นมา เขาเข้ามาแนบชิดติดอยู่ข้างหลังเสียแล้ว กอดเธอเอาไว้แน่น
ขยับตัวไปมาอย่างประหม่า แล้วพูดเตือนเสียงเบา “อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวเสี่ยวหลงออกมาเห็นพวกเราแบบนี้มันจะไม่ดี”
“พวกเราเป็นยังไงเหรอ” เขาพ่นลมหายใจอยู่ข้างหูเธอ แล้วหัวเราะเสียงต่ำ
“แล้วนายคิดว่าไงล่ะ” หลินเวยมี่พึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “กอดรัดไปมาอย่างกับอะไร”
“ก็ฉันคิดถึงเธอ ให้ฉันกอดหน่อยสิ” เขาพูดเสียงต่ำ เสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยแฝงความจริงจังอยู่ในนั้น
หลินเวยมี่ถอนหายใจออกมาแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น
ใครจะไปรู้ว่ากอดไปกอดมาเขาก็เริ่มอยู่ไม่สุข มือคู่ใหญ่เริ่มขยับไปมา ลมหายใจก็เริ่มหอบถี่ขึ้น
“อารมณ์ดีๆถูกนายปั่นป่วนหมดแล้ว” หลินเวยมี่ผละออกจากอ้อมกอดเขาอย่างขุ่นเคือง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้บรรยากาศค่อนข้างโรแมนติกอยู่แท้ๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาบอกว่าคิดถึงเธอ ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะเริ่มมือเท้าอยู่ไม่สุขอีกแล้ว
ฉู่เฉินซีหัวเราะเสียงต่ำ มือใหญ่คว้าออกไป ดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมอก “ฉันก็แค่คิดถึงตอนที่อยู่ฝรั่งเศส”
“ฝรั่งเศส” เธอขมวดคิ้วพร้อมถามขึ้น
“อืม ครั้งนั้นที่ห้องครัวของบ้านเธอ เร้าใจมาก ตอนนี้ยังจำความรู้สึกนั้นได้อยู่เลย” ฉู่เฉินซีจงใจกดเสียงให้ต่ำลง ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบลงบนใบหน้าของเธอ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเสน่ห์หาอันเป็นเอกลักษณ์
เธอหน้าแดงทันที ตอนนั้นทั้งสองคนบ้าคลั่งกันมาก ยังดีที่เดวิดไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าเงยหน้ามองใครอีกแล้ว
“คนหื่นกาม”
“ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หื่นหรอก อีกอย่างคนที่ฉันหื่นใส่ก็เป็นเมียฉันด้วย” เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้ แล้วประทับริมฝีปากลงบนซอกคอของเธอ พรมจูบอย่างแผ่วเบา
ทั้งจริงจัง แฝงความรู้สึกราวกับทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน และก็เหมือนปุยหิมะยามฤดูหนาว หล่นกระทบบนซอกคอของเธอ และละลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกแบบนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
หลินเวยมี่แข็งทื่อ มือเล็กเกาะเสื้อเขาไว้แน่น
“อืม” เสียงของเขาเล็ดลอดออกมาจากจมูก มือใหญ่เริ่มรุกล้ำเข้าไปทางปกเสื้อของเธอ แล้วดันเธอไปชิดกำแพง การกระทำของเขาแฝงไปด้วยความเอาแต่ใจ และความต้องการอยากจะครอบครองเธอ หลินเวยมี่ปิดตาลง สองมือโอบรอบเอวของเขาไว้ และค่อยๆตอบสนองเขา
ฉู่เฉินซีใช้แรงที่มือยกขาของเธอขึ้นมา ลมหายใจปั่นป่วน
ทั้งสองคนแนบชิดติดกัน อุณหภูมิของร่างกายค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนกำลังอยู่ที่ห้องรับแขก
“ฉู่เฉินซี….” ดวงตาทั้งคู่ของเธอมองไปที่เขาอย่างพร่ามัว ดูแล้วช่างงดงามเหลือเกิน
ลมหายใจเขาปั่นป่วน พ่นเอาความเร่าร้อนยั่วยวนออกมาด้วย “หืม ?”
หลินเวยมี่ไม่ได้ตอบ แก้มน้อยๆแดงฉาน กัดงับเข้าที่ต้นคอของเขาเบาๆทีหนึ่ง
การกระทำของเธอเป็นการกระตุ้นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนเป็นการจุดเชื้อเพลิงให้เขา ทำให้ไฟทั้งหมดในตัวของฉู่เฉินซีรุกโชนออกมา
ลมหายใจของเขาหอบถี่ขึ้นไปอีก ทับถมกันใหม่ แล้วพลิกกลับไปมา ราวกับชิมรสชาติของเธอเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้สึกหนำใจ
ทั้งสองคนกำลังเคลิบเคลิ้มกันอย่างดูดดื่ม ทำให้ไม่ทันได้ยินเสียงประตูที่ถูกเปิดออก
“สวัสดี นี่ฉันมารบกวนพวกเธอหรือเปล่า”
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำเอาทั้งสองคนถึงกับสะท้านไปทั่วร่าง ทั้งตัวที่กำลังร้อนผ่าวถูกน้ำเย็นจัดนี้ดับคลื่นความร้อนทั้งหมดไปในทันที