บทที่ 231 รอฉัน
รอให้หลินเวยมี่อาบน้ำเสร็จ ฉู่เฉินซีกำลังกลัดกระดุมเสื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ บนใบหน้าอันหล่อเหล่าประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“มารน้อย ฉันมีธุระต้องออกไปก่อน คืนนี้รอฉันนะ”
หลินเวยมี่เดินเข้าไปช่วยเขากลัดกระดุม ทำเป็นไม่สนใจความหมายของคำพูดที่เขาพยายามจะสื่อ พูดขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “วันนี้ฉันจะกลับแล้ว ฉันอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้หรอก มันไม่สะดวก”
“อืม ก็ไม่สะดวกจริง” ฉู่เฉินซีก้มหน้าลงต่ำ มองดูสตรอเบอร์รี่บนคอของเธออย่างพึงพอใจ แล้วใช้นิ้วลูบบนนั้นเบาๆ
“ฉันรู้สึกว่าระเบียงที่บ้านเธอก็ไม่เลว” ฉู่เฉินซีพ่นลมหายใจร้อนผ่าวลงบนใบหน้าของเธอ
“เหลวไหล” หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เปิดปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้านั้นเดี๋ยวฉันไปคุยกับคุณแม่ก่อน”
“อืม ฉันจะออกไปก่อน” ฉู่เฉินซีเชยแก้มเธอขึ้น แล้วจูบทีหนึ่งก่อนจะจากไป
หลินเวยมี่ยืนอยู่หน้ากระจก ขมวดคิ้วแล้วมองดูรอยจูบสีม่วงเข้มบนคอ ก่อนจะหยิบเอาเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งขึ้นมาสวมอย่างเหนื่อยหน่าย
ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใส่เสื้อเชิ้ตเลยไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรมาก
ตอนที่กำลังลงไปด้านล่างก็ได้เจอกับคุณท่านแก่ฉู่กับรั่วหลานเข้าพอดี คุณท่านแก่ฉู่ดันรถเข็นเข้ามาทางหน้าประตู ดูเหมือนทั้งสองคนพึ่งจะไปเดินเล่นมา
หลินเวยมี่ยิ้มแล้วเดินลงไป พยักหน้าให้คุณท่านแก่ฉู่เบาๆ
“เวยมี่ ไปกินอาหารเช้าก่อนสิ ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบกินอะไร ก็เลยให้แม่บ้านเตรียมไว้หลายอย่างเลย” รั่วหรานยิ้มแล้วพูดขึ้น แววตาเปี่ยมด้วยความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู
หลินเวยมี่รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา และเริ่มแสบตา ความรักของแม่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ทำให้เธอรู้สึกตื้นตันใจมาก
เมื่อเดินไปถึงโต๊ะอาหาร ก็พบว่าอาหารเช้าถูกเตรียมไว้อย่างมากมายจริงๆ เลยเลือกดื่มน้ำเต้าหู้ไปนิดหน่อย แล้วก็กลับไปที่ข้างกายของรั่วหรานอีกครั้ง
รั่วหลานทอดมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้ม “เธอกินน้อยไปนะ ไม่แปลกเลยที่ผอมขนาดนี้”
“คุณแม่ ขอบคุณนะคะ” หลินเวยมี่นั่งลงข้างๆเธอ ดวงตาเอ่อไปด้วยน้ำตา
“มันเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลเธอ ฉันก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว” รั่วหลานพูดออกมา
คุณท่านแก่ฉู่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆทั้งสองคน มองดูรั่วหรานที่เป็นแบบนี้ในใจก็รู้สึกสบายใจ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ขอแค่หล่อนดีใจก็พอแล้ว
“แม่คะ ขาของแม่เป็นอะไรเหรอคะ” นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเวยมี่ถามขึ้น เธอแปลกใจมากว่าทำไมขาของรั่วหรานถึงเป็นอัมพาต หล่อนเคยพบเจออะไรมากันแน่
รอยยิ้มบนใบหน้าของรั่วหรานจางลง ยกมือลูบผมเบาๆ “ตอนที่คลอดเธอตอนนั้นเสียเลือดมากไปเลยเป็นแบบนี้น่ะ”
สีหน้าหลินเวยมี่แข็งทื่อไปทันที คิดไม่ถึงเลยว่าที่รั่วหรานต้องเป็นอัมพาต ทั้งหมดเป็นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ
ในใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ริมฝีปากสั่นเครือ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
“ตอนแรกมันเป็นอุบัติเหตุ ยังดีที่เธอไม่เป็นอะไร” รั่วหรานยิ้มพร้อมกับตบบนหลังมือเธอเบาๆ ตอนนั้นหล่อนได้รับผลกระทบร้ายแรงขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สูญเสียขาทั้งสองข้าง หรือเรื่องที่สูญเสียลูกไป ไม่อย่างนั้นตอนนั้นก็คงไม่ถูกเรื่องพวกนี้บีบคั้นจนแหลกสะลาย
ขอบตาของหลินเวยมี่แดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ ทำได้แค่จับมือหล่อนแน่น
ที่จริงเธอก็รู้สึกสงสัยว่าพ่อของเธอคือใคร แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
“เอาเถอะ เอาเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นอีกเลย” คุณท่านแก่ฉู่วางหนังสือพิมพ์บนมือไว้อีกทาง แล้วมองไปยังหลินเวยมี่ “เวยมี่ เธออย่าได้เกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนนั้นอีกเลย ยังไงตอนนี้พวกเธอสองแม่ลูกก็ได้รู้จักกันแล้ว แล้วจะไปพูดถึงเรื่องราวต่างๆในอดีตเพื่ออะไรอีก”
หลินเวยมี่มองไปที่คุณท่านแก่ฉู่ คำพูดพวกนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการตักเตือนเธอ ไม่ให้เธอถามต่อไปอีก คุณท่านแก่ฉู่กำลังปกปิดอะไรอยู่กันแน่
ภายในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
“แม่คะ วันนี้หนูอยากกลับแล้ว” หลินเวยมี่เอ่ยปากเบาๆ
“กลับไปทำไมเหรอ อยู่ที่นี่แล้วไม่สบายเหรอ” รั่วหรานมีท่าทีแปลกไปมาก แววตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “เสี่ยวหลงก็ชอบที่นี่มากไม่ใช่เหรอ ต่อไปเธอก็มาอยู่ข้างๆฉันสิ”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นมองคุณท่านแก่ฉู่ทีหนึ่ง ไม่ว่ายังไงที่นี่ก็คือบ้านตระกูลฉู่ อีกอย่างก็เห็นได้ชัดว่าคุณท่านแก่ฉู่ไม่ได้เต็มใจต้อนรับเธอ แล้วเธอจะอยู่ที่นี่ไปตลอดเพื่ออะไร
“แม่คะ ต่อไปหนูจะมาเยี่ยมบ่อยๆค่ะ โรงเรียนของเสี่ยวหลงอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก เลยไม่ค่อยสะดวกค่ะ”
แววตาของรั่วหรานสลดลง พยักหน้ารับ “ก็ได้ แต่ว่าเธอต้องมาที่นี่บ่อยๆนะ”
หลินเวยมี่พยักหน้า ในแววตายังคงมีความสงสัย เลยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แม่คะ ที่จริงหนูยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะถาม”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“หนู……”
“เวยมี่ ไม่ต้องถามแล้ว” ทันใดนั้นสีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่ก็ย่ำแย่ขึ้นทันที “บางเรื่องราวก็ไม่แน่ว่าจะมีคำตอบเสมอไป บางทีคำตอบนั้นอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดเอาไว้”
ภายในห้องรับแขกตกอยู่ในความเงียบสงัด บนใบหน้าของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมคุณท่านแก่ฉู่ถึงไม่ยอมให้เธอถามต่อ และคำพูดของเธอก็ยังไม่ได้พูดออกมาเลย เขากลับหยุดมันเอาไว้แล้ว
สีหน้าของรั่วหรานเองก็ไม่ได้ดีนัก ทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดจา
“พี่ฉู่ เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นไปแล้ว อีกอย่างตอนนั้นเวยมี่ก็….” รั่วหรานเองก็พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอบตาแดงก่ำ เหมือนว่าคิดถึงเรื่องอะไรที่ทำให้เสียใจเข้า
คุณท่านแก่ฉู่ถอนหายใจหนึ่งที แล้วตบบนหลังมือเธอเหมือนจะปลอบใจ แล้วสายตาก็ถูกจ้องไปที่ตัวหลินเวยมี่
“ฉันรู้ว่าเธอจะถามอะไร เรื่องนี้ฉันจะบอกเธอแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” คำพูดของคำหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่รั่วหราน “สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี เรื่องในอดีตไม่อยากให้นึกถึง เธอช่วยเข้าใจด้วยเถอะ”
คำพูดคำนี้ของเขาจริงจังมาก แล้วก็เจือไปด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่หลินเวยมี่ก็สามารถดูออกได้ว่า เรื่องนั้นที่อยู่ในปากของพวกเขาจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ แล้วยังร้ายแรงพอจะส่งผลกระทบถึงรั่วหราน หรือว่าพ่อของเธอจะเป็นพวกเลวทราม ที่เคยทำร้ายรั่วหรานอย่างรุนแรง
หลินเวยมี่คิดหาข้ออธิบายได้แค่นี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นทำไมรั่วหรานถึงต้องเสียใจขนาดนี้
ฐาลี่นั่งประชุมอยู่ในห้องหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เปลี่ยนโหมดเป็นผู้หญิงแกร่ง และตรวจสองข้อมูลอย่างละเอียด
หลายวันนี้เธออยู่ที่เมืองaตลอด ดังนั้นงานมากมายเลยถูกกองเอาไว้ อีกอย่างงานแต่งก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ใจของเธอก็ยิ่งว้าวุ่นเข้าไปใหญ่
“ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ฐาลี่ปิดคอมพิวเตอร์เสียงดังพรึ่บ แล้วเอ่ยปากเสียงเย็น “เข้ามา”
ฉู่ชิ่งเจ๋อดันประตูเดินเข้ามา แล้ววางกาแฟแก้วหนึ่งลงบนโต๊ะของเธอ
“หักโหมขนาดนี้เลยเหรอ”
ความสัมพันธ์ระหว่างฐาลี่กับฉู่ชิ่งเจ๋อนั้นไม่ร้อนไม่หนาวมาโดยตลอด ดังนั้นก็พูดไม่ได้ว่าสนิทมากมายอะไร พยักหน้ารับเบาๆ “มันเป็นงานยังไงก็ยังต้องทำ”
ฉู่ชิ่งเจ๋อเม้มปาก ไม่ได้ใส่ใจความเย็นชาของเธอเลยสักนิด “ช่วงบ่ายมีเวลาหรือเปล่า ไปดูชุดแต่งงานด้วยกันหน่อยสิ ฉันสั่งทำไว้แล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบ”
“นายว่างมากเหรอ”
คำพูดของเธอออกจะตรงไปหน่อย พอพูดจบก็รู้สึกผิดขึ้นมา รีบร้อนมองไปที่ฉู่ชิ่งเจ๋อ ยังดีที่เขายังทำหน้าแป้นแล้นอยู่อย่างนั้น ท่าทางจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดเมื่อกี้ของเธอ
การอยู่ร่วมกันแบบนี้ทำให้ฐาลี่รู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกเหมือนทั้งสองคนกำลังใส่หน้ากากเข้าหากัน รู้จักแต่กลับไม่รู้ใจ
“การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหนก็ต้องหาเวลาว่างออกมาให้ได้”
ฐาลี่พยักหน้าเหมือนรับรู้ “ก็ได้ ถ้านั้นเดี๋ยวตอนบ่ายไปด้วยกัน”
ฉู่ชิ่งเจ๋อไม่ได้ออกไป แต่กลับจ้องมองเธอเงียบๆ
ฐาลี่รู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูก เอ่ยถามด้วยคำพูดเรียบเฉย “นายยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”
“อย่างน้อยฉันก็เป็นคู่หมั้นของเธอนะ ทำไมเย็นชากับฉันแบบนี้” ฉู่ชิ่งเจ๋อยังคงยิ้มแย้ม หลังพูดคำนี้จบสีหน้าก็ฉายแววเศร้าสร้อยออกมา
ฐาลี่ยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่ หัวเราะแห้งๆออกมาทีหนึ่ง “ที่จริงฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ มักจะเย็นชากับคนนอก…”
“ดูท่าคงต้องทำให้เธอเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ฉันไม่ใช่คนนอกอะไรสักหน่อย” เมื่อเขาพูดจบก็เชยคางเธอขึ้นมา แล้วจูบบนริมฝีปากของเธอเบาๆหนึ่งที
“นาย” ฐาลี่โมโหทันที แล้วพุ่งหมัดออกไปอย่างรวดเร็วหมายจะชกเขา แต่กลับถูกเขาหยุดไว้อย่างง่ายดาย
“จำไว้นะ ฉันเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉู่ชิ่งเจ๋อพูดพร้อมรอยยิ้ม
ฐาลี่จ้องเขาเขม็ง ถึงแม้เขาจะกำลังยิ้ม แต่เธอก็มองเห็นความเย็นชาที่อยู่ในแววตาของเขาได้อย่างง่ายดาย เจ้าเสื้อหน้ายิ้มนั่น
“ฉันรู้สึกว่าเวลาว่างๆเราควรจะออกไปเดินเล่นกันบ้าง หรือไม่พวกเราก็ควรพูดคุยกันบ่อยๆ เธอจะได้ไม่เห็นฉันเป็นแปลกหน้า” ฉู่ชิ่งเจ๋อขยับเข้าไปชิดเธอพร้อมรอยยิ้ม
ฐาลี่ถอยหลังหลบทันที แววตาฉายแววหวาดกลัว “นายจะทำอะไร”
“กลัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉู่ชิ่งเจ๋อไม่ได้ทำต่อ ยังคงทำหน้ายิ้มอ่อนๆ “ฉันก็แค่อยากให้เธอชินซะ เพราะจะให้คนอื่นมองความสัมพันธ์ของพวกเราออกไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็จะให้คนอื่นเห็นฉันเป็นตัวตลกไม่ได้ เธอเข้าใจใช่ไหม”
“ตอนนี้นายออกไปก่อนได้ไหม” ฐาลี่ชี้ไปที่ประตูด้วยสีหน้าบึ้งตึง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ฉู่ชิ่งเจ๋อยักไหล่ ก่อนจะเดินออกไปช้าๆ
จนถึงตอนที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ฐาลี่ถึงได้รู้สึกวางใจ สีหน้ายังคงซีดเผือด เธอรู้ดีว่าความหมายในคำพูดของฉู่ชิ่งเจ๋อคืออะไร
คนนอกที่ว่าก็คือฉู่เฉินซีไม่ใช่เหรอ เขาเป็นคนที่อีโก้สูงมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องคอยสู้กับฉู่เฉินซีอยู่เสมอ แล้วเธอก็เลือกแล้วว่าจะแต่งงานกับเขา ในสายตาของเขาก็เหมือนชนะฉู่เฉินซีแล้วยกหนึ่ง
ฐาลี่นั่งพิงพนักเก้าอี้ ใช้มือบีบนวดขมับ ในใจรู้สึกหดหู่เป็นที่สุด ตอนนี้เธอก็ไม่แน่ใจเลยว่าทางเลือกในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือเปล่า
เธอรู้สึกต่อต้านฉู่ชิ่งเจ๋อมาก แทบจะเกลียดเขามากเลยด้วยซ้ำ
ปิดตาลง วางแผนว่าจะไม่คิดมากอีก ยังไงเธอก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว เมื่อเลือกแล้วก็ต้องแบกรับมัน ไม่อย่างนั้นจะให้เธอกลับคำเหมือนเด็กๆหรือไงกันล่ะ
แล้วเธอเองก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าเธอจะทำเป็นเล่นไม่ได้ สิ่งที่เธอแบกรับมันมากมาย ถ้าตัดสินใจเลือกแล้ว ก็ไม่มีทางให้กลับหลังหันแล้ว
ฉู่ชิ่งเจ๋อเดินออกมาจากห้องของฐาลี่ด้วยสีหน้ามืดมน แล้วก็เจอกับElisเข้าพอดี บนมือของElisถือแก้วน้ำผลไม้เอาไว้ เหลือบมองฉู่ชิ่งเจ๋ออย่างเงียบๆทีหนึ่ง แววตามีแต่ความดูแคลนอย่างชัดเจน
“คิดว่าตัวเองจะเทียบกับฉู่เฉินซีได้จริงๆอย่างนั้นเหรอ ช่างน่าขำเสียจริง”
วินาทีต่อมาฉู่ชิ่งเจ๋อก็คว้าข้อมือเธอไว้อย่างแรง แววตาเผยแววเย็นชา “คุณElis มีบางคำพูดที่สมควรพูด และบางคำที่ไม่สมควรพูด พี่สาวของเธอไม่เคยสอนเธอเหรอ”
“ไอ้คนไม่ได้เรื่อง ปล่อยฉันนะ พี่สาวฉันต้องตาบอดแน่ถึงได้เลือกนาย” Elisพูดออกไปอย่างดุเดือด
มือของฉู่ชิ่งเจ๋อยิ่งบีบแรงขึ้นไปอีก สีหน้ามืดมน “ฉันไม่ได้เรื่อง? ถ้านั้นใครล่ะที่เหมาะกับพี่สาวของเธอ ฉู่เฉินซีเหรอ น่าเสียดายนะที่เขาไม่เอาพี่สาวเธอตั้งนานแล้ว ไม่นั้นเธอคิดว่าทำไมฐาลี่ถึงได้เลือกฉันล่ะ”
“มีแต่ฉันที่ช่วยฐาลี่ได้ มีแต่ฉันที่คู่ควรกับฐาลี่” ฉู่ชิ่งเจ๋อพูดจบก็ปล่อยมือเธอ เดินผ่านตัวเธอไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย