บทที่ 44 ความลับถูกเปิดเผย
แต่เธอทำไม่ได้ที่นี่เป็นถิ่นของเซิ่งเจ๋อเฉิง บริษัทเซิ่งซื่อเต็มไปด้วยสายตาคอยจับผิด เธอไม่สามารถให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรมาหัวเราะเยาะเธอได้
ในโลกนี้สังคมนี้ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกเหรอ?
คนที่ไร้สาระพวกนี้ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของคนในเหตุการณ์หรือผู้เคราะห์ร้ายว่าพวกเขาได้ผ่านความเจ็บปวดทรมานอะไรมาบ้างและไม่คำนึงถึงความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาแค่อยากนินทาคนอื่นหลังอาหารเท่านั้นเอง ผู้เคราะห์ร้ายจะโดนคนอื่นเข้าใจผิดบ้างหรือถูกประณามบ้างก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขาสักนิด?
เสิ่นอีเวย รู้สึกหนาวในใจขึ้นมาทันที
ในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น เสิ่นอีเวยนึกถึงวันที่หนีออกมาจากบริษัทเซิ่งซื่อ นับตั้งแต่วันนั้นในใจของเธอก็รู้สึกแปลกเป็นระยะๆตลอดเวลาซึ่งความรู้สึกนี้ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อก่อนเวลาที่เซิ่งเจ๋อเฉิงและเธอทะเลาะกันทุกครั้งหรือแม้แต่ที่เขาลงโทษเธอ เสิ่นอีเวย สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเราทั้งสองคนทะเลาะกันจริงๆและไม่มีใครเชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดแบบนั้น
แต่ในช่วงนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงค่อยๆเปลี่ยนไปไม่ค่อยเหมือนในอดีต ชายคนที่ไม่ลังเลที่จะโมโหใส่เธออย่างเอาเป็นเอาตายไม่คำนึงถึงความรู้สึกเธอสักนิด คนอย่าง เซิ่งเจ๋อเฉิง เหมือนว่าตอนนี้เขายิ่งอยู่กับเธอยิ่งไม่เหมือนเขาคนเก่า
แต่เมื่อเสิ่นอีเวยเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของเซิ่งเจ๋อเฉิงในใจของเธอกลับรู้สึกกลัวรู้สึกทนไม่ได้อาจจะเป็นเพราะว่าเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ด้วยกันอย่างไม่เกรงใจกันมาตลอด หลังจากแต่งงานกันก็เหมือนช่วยกันทรมานใจฝ่ายตรงข้ามทั้งสองต่างชาชินกับการใช้ชีวิตฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามแบบนี้
คิดถึงตรงนี้แล้วเสิ่นอีเวยก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขืนให้กับตัวเองหรือว่าคนจะเป็นแบบนี้กันไปหมด?
โดนตบหลังหลายๆครั้งเข้า สุดท้ายตอบแทนด้วยลูกอมเม็ดหนึ่งแต่กลับต้องคายออกมาเพราะทำดีจนน่ากลัว ในเวลานี้เสิ่นอีเวยก็รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
ตอนที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้นเอง รถก็มาถึงหน้าประตูบ้านเธอเลื่อนไปจอดที่โรงเก็บรถหลังจากนั้นก็เดินเข้าบ้านไป
โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น ตอนล้วงออกมาดู ที่แท้ก็เป็นฉินโม่โทรเข้ามา
“ว่าไง ฉินโม่ มีอะไรเหรอ?”
“ฉันกำลังจะผ่านที่ประตูหน้าบ้านเธอ นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องหนึ่งอยากถามเธอสักหน่อย ถ้าตอนนี้แวะเข้าไปหาจะสะดวกไหม? ”
เสิ่นอีเวย ตกใจเล็กน้อย: “ตอนนี้?”
เธอลองคิดๆดู ตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้อยู่บ้านอีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันทำงานปกติ เขาน่าจะยุ่งมากคงไม่กลับบ้านสักพักใหญ่
ฉินโม่รู้สึกได้ว่าเสิ่นอีเวยกำลังลังเลใจ: “ตอนนี้เธอไม่สะดวกเหรอ? ถ้าไม่สะดวกเดี๋ยวค่อยมาใหม่คราวหน้าก็ได้”
เสิ่นอีเวยรีบพูดอย่างรวดเร็ว: “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉันก็เพิ่งเลิกงานกลับถึงบ้าน ถ้าเธอมาน่าจะได้ทานมื้อเย็นด้วยกันนะ!”
“ได้ ฉันจะถึงแล้วล่ะ”
สิบนาทีต่อมา ฉินโม่ก็มาถึงคฤหาสน์ของตระกูลเซิ่ง
เสิ่นอีเวยส่งน้ำชาให้ฉินโม่แก้วหนึ่ง
เธอรู้สึกว่าวันนี้ ฉินโม่แปลกไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาควรจะเคร่งขรึมกว่านี้สีหน้าของเขาแลดูเย็นชาเสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอค่อยๆวางแก้วชาเบา ๆ : “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆถึงมาหาฉัน”
ฉินโม่มองหน้าเสิ่นอีเวยอย่างจริงจัง เขามองอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาหยิบกระดาษที่พับทบสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
กระดาษแผ่นนั้นดูยับๆตอนที่สายตาของเสิ่นอีเวยสัมผัสกับกระดาษแผ่นนั้น คิ้วของเธอก็ขมวดขึ้น
นิ้วอันเรียวงามของฉินโม่ค่อยๆครี่กระดาษแผ่นนั้นออกแล้ววางไว้บนโต๊ะชงชาต่อหน้าเสิ่นอีเวย เขามองตาเธอแล้วถามว่า “ทำไมเธอถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง? ”
ขณะเดียวกันนั้นเองสีหน้าของเสิ่นอีเวยก็แข็งทื่อ เพราะกระดาษแผ่นนั้นเป็นกระดาษที่เธอขยำทิ้งในถังขยะโรงพยาบาลตอนที่เจอกับฉินโม่ ใช่แล้ว มันคือผลวิเคราะห์โรคที่เธอเป็นอยู่
ฉินโม่เห็นเสิ่นอีเวยเงียบไปชั่วครู่ สีหน้าที่บึ้งตึงของเขาก็คลายลงเล็กน้อย
“ครั้งที่แล้วเราดื่มน้ำชาและพูดคุยกันข้างนอก ฉันคิดว่าเธอจะบอกเรื่องนี้กับฉัน ดังนั้นในวันนั้นฉันถึงไม่ได้ถามเธอก่อน จนเธอกลับไปฉันเพิ่งรู้สึกว่าเธอต้องการปิดบังเรื่องนี้กับฉัน”
เสิ่นอีเวยยิ้มอย่างหมดหนทาง: “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันคิดว่าถ้าพูดออกไปมันจะทำให้คนอื่นไม่สบายใจเปล่าๆ”
ฉินโม่ ถอนหายใจ: ” นี่เป็นมะเร็งตับระยะแรก เธอแน่ใจหรือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่? ”
เสิ่นอีเวยได้ยินคำว่ามะเร็งตับสามพยางค์นี้ ใจเธอก็สั่นเทา เธอมองไปรอบๆตัว เห็นว่าไม่มีคนรับใช้อยู่ เธอโล่งใจขึ้นนิดหนึ่ง ใช่ คนที่เธอไม่อยากให้รู้เรื่องที่เธอป่วยมากที่สุดคือเซิ่งเจ๋อเฉิง
เสิ่นอีเวยมองฉินโม่ เธอเชื่อว่าผู้ชายคนนี้ที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุดคนหนึ่ง
” ฉินโม่ เรื่องเกี่ยวกับโรคที่ฉันเป็นอยู่ ฉันอยากให้คุณเก็บเป็นความลับ”
ฉินโม่พยักหน้า แววตาของเขาแสดงออกถึงความสงสารเธออย่างจับใจ: ” ถ้าอย่างนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้เธอจะทำยังไงต่อไป? ”
เธอมองดูฉินโม่ ความกังวลใจของเขาสื่อออกมาจากแววตาและน้ำเสียง ทันใดนั้นในใจของ เสิ่นอีเวย ก็เริ่มมีน้ำตา ทำไม…ทำไมสวรรค์ถึงไม่อยากให้คนเราสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา หาก เซิ่งเจ๋อเฉิง ดีกับเธอเหมือนกับผู้ชายตรงหน้า จะดีมากแค่ไหน?
แววตาของเสิ่นอีเวยดูซีดเซียว: ” พูดกันตามจริง ฉันไม่รู้ ฉันเป็นคนที่นิสัยเย็นชามาตั้งแต่เด็กถึงแม้ว่าตอนนี้รู้ว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงขนาดนี้ ที่จริงในช่วงนี้ฉันปรับอารมณ์จิตใจตัวเอง ถึงตอนนี้ฉันก็พอจะยอมรับความเป็นจริงได้แล้ว ถึงยังไงฉันก็รู้สึกว่า ความตายของคนเราคงจะถูกชะตากำหนดไว้แล้ว! ”
ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความหดหู่ผสมกับปลงกับชีวิตของเสิ่นอีเวย หัวใจของฉินโม่ช่างเจ็บปวด เพียงแต่ความปวดใจของเขา เสิ่นอีเวยไม่มีวันที่จะรับรู้ได้
ฉินโม่หยิบกระดาษที่ยับยู่ยี่บนโต๊ะชาขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง ทันใดนั้น เขาก็กำมือแน่น สีหน้าลุกลี้ลุกลน: “ไม่เป็นไร นี่เป็นแค่มะเร็งระยะเริ่มต้น อารมณ์ของเธอจะหดหู่ไม่ได้ เธอควรจะคิดทำอะไรเพื่อตัวเองอย่างจริงจัง ตั้งแต่ตอนนี้ไป เธอจะต้องรักษาสุขภาพให้ดี ต้องไปตรวจร่างกายบ่อยขึ้นและรักษา ฉันรู้โรคแบบนี้ถ้าสามารถหาอวัยวะที่เข้าได้กับร่างกายผู้ป่วยก็สามารถทำการปลูกถ่ายอวัยวะได้ เธอก็จะหายดี! ”
แต่เสิ่นอีเวยไม่ได้มีอารมณ์ตามคำพูดของฉินโม่ สภาพร่างกายของเธอตอนนี้เธอจะไม่รู้ตัวเองได้อย่างไร?
เธอจิบชาอึกหนึ่งแล้วยิ้มอย่างขมขื่นให้กับฉินโม่: “แต่ ฉินโม่ เธอก็ใช่ว่าจะไม่รู้ การที่จะหาอวัยวะที่เข้ากันได้กับร่างกายของฉันมันยากแค่ไหน แม้ว่าจะตามหาทั้งโลกก็เถอะ”
ดวงตาของฉินโม่เกิดมีความแน่วแน่ขึ้นมา เวลานี้เขาอยากเอื้ยมมือไปกุมมือของเสิ่นอีเวยและบอกเธอประโยคหนึ่ง: เธอยังมีฉันอยู่
แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ รวมถึงฐานะของเสิ่นอีเวยในตอนนี้ ฉินโม่พยายามระงับความรู้สึกอันแรงกล้านั้นไว้: ” เธอวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันให้เธอเป็นอะไรไปเด็ดขาด