บทที่ 60 เธอไม่ต้องรู้สึกผิด
เสิ่นหุ้ย เป็นชื่อที่ทำให้คนรู้สึกอ่อนไหว และในเวลานี้เป็นชื่อที่คั่นกลางระหว่างผู้หญิงที่หยิ่งด้วยกันทั้งคู่
สายตาสวี่อันฉิงแพรวพราว มุมปากแสยะยิ้มอย่างถากถาง : “เสิ่นอีเวย หลายปีมานี้ เธอคิดว่าพี่สาวเธอจะฟื้นขึ้นมาบ้างไหม?”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปสีกพัก แล้วถามกลับ : “เธอหมายความว่ายังไง ?”
“ตอนนี้สภาพเสิ่นหุ้ยเป็นเจ้าหญิงนิทรา วันๆเอาแต่นอนอยู่บนเตียง เธอคิดว่าหล่อนจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน? สิ่งที่หล่อนมีก็แค่หัวใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงเท่านั้นแหละ แต่หัวใจของผู้ชายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปได้ง่ายที่สุดบนโลกใบนี้ สามปี ห้าปี สิบปี เธอจะกล้ามั่นใจได้ไงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะรอเสิ่นหุ้ยฟื้นขึ้นมา?”
เสิ่นอีเวยจ้องสวี่อันฉิงแต่ไม่ได้พูดอะไร
สวี่อันฉิงเอาหน้าของตัวเองเข้ามาใกล้เสิ่นอีเวย ระยะห่างของทั้งคู่ห่างกันใกล้มาก หล่อนพูดเบาๆ : “หล่อนเป็นเจ้าหญิงนิทรา ฉันจะต้องกลัวอะไร? บนโลกนี้มีแต่เสิ่นอีเวยที่เป็นศัตรูกับฉัน ขอแค่เธอไม่ต่อกรเป็นอริกับฉัน หัวใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงช้าเร็วฉันก็ได้มันมา”
การจ้องมองของสวี่อันฉิงในตอนนี้ ในใจของเสิ่นอีเวยเกิดเป็นถ้อยคำถากถางอย่างรุนแรง ครั้งนี้แหละ หล่อนต้องจัดการผู้หญิงที่หยิ่งนี่ให้ได้
เสิ่นอีเวยยิ้มอย่างละมุนแล้วเอ่ย : “งั้นฉันก็คงต้องทำให้เธอผิดหวังแล้วแหละ เซิ่งเจ๋อเฉิงเขาเป็นคนของฉัน ตายไปก็เป็นผีในอำนาจของฉัน เธออยากจะใช้ถ้อยคำอะไรมาสู้กับฉัน ฉันจะไม่ยอมให้เธอได้ตามทีหวังไว้แน่”
สวี่อันฉิงโมโหอย่างหาที่สุดไม่ได้ ใจของเธอเกลียดจนอยากจะตบหน้าเสิ่นอีเวยสักสองทีตั้งแต่แรก แต่ว่าตอนนี้อยู่ในออฟฟิศ ข้างนอกก็มีคนคอยดูความสนุกอยู่ ในใจเธอบอกว่าอย่าหุนหันพลันแล่นไป อย่าลุกลี้ลุกลน
มุมปากของหล่อนแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย : “ได้ ฉันบอกเธอแล้วนะ เรื่องในวันนี้ฉันจำไว้แล้ว ความแค้นนี้ ช้าเร็วฉันก็ต้องเอาคืน”
ดวงตาเสิ่นอีเวยจ้องมองสวี่อันฉิงตรงๆ สีหน้าอารมณ์ปกติธรรมดาไม่ได้แสดงอาการกลัวแต่ใดๆ สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยพลังที่มหาศาลและการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว : “ฉันจะบอกเธอให้นะว่าเรื่องระหว่างความแค้นเรามันเพิ่งเริ่มต้น”
หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานของเสิ่นอีเวย สายตาของทั้งออฟฟิศก็จับจ้องมายังสวี่อันฉิงเพื่อค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น
เมื่อกี้เพิ่งถูกเสิ่นอีเวยหักหน้าไป ตอนนี้อารมณ์ของเธอแย่สุดๆ ยิ่งเห็นคนรอบข้างใช้สายตามองค้นหาเธออีกยิ่งทำให้เธอโมโหหนักเข้าไปอีก : “มองอะไร มีอะไรให้น่าดูหรอ!”
ในห้องทำงานของเสิ่นอีเวยได้ยินเสียงของสวี่อันฉิงที่แพ้แล้วโมโห ใบหน้าของเธอยิ้มอย่างพอใจ
สีหน้าสลดใจของหมี่ย่าที่นั่งอยู่ข้างๆมองสวี่อันฉิงที่โมโหจนเป็นสภาพนี้แล้ว หล่อนก็คาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องที่จะยกเลิกคำสั่งลาออกคงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วยิ่งใกล้จะเลิกงานแล้วด้วย หมี่ย่าเก็บของภายใต้สายตาของทุกคนแล้วเดินไปทางประตูขนาดใหญ่
ตอนที่เธอเดินผ่านห้องทำงานของเสิ่นอีเวย หมี่ย่าหยุดพัก ด้านหลังของเธอคือพนักงานทุกคนเพราะฉะนั้นเลยไม่มีใครได้เห็นสายตาอันน่าสยดสยองของหล่อน ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์การล้างแค้นที่มันกำลังเพาะลงไปในหัวใจของหล่อน
หนึ่งทุ่ม เสิ่นอีเวยยังคงนั่งทำงานวุ่นอยู่ในห้องทำงานดูเหมือนว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน เพราะหล่อนต้องการใช้เวลาที่เพิ่งเข้ามาทำงานนี้ จัดการการออกแบบชุดแต่งงานของฝ่ายออกแบบที่จะได้ทำออกมาให้ชัดเจนสำหรับการวางแผนข้างหน้า หากหวังว่าจะได้อะไรที่มีประโยชน์จากศัตรูอย่างสวี่อันฉิงเชื่อได้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วยิ่งนักออกแบบคนอื่นหล่อนก็ไม่ได้เข้าใจอะไรกันมากนัก เลยไม่มีวิธีไหนได้แต่อาศัยตัวเองนี่แหละ ตอนที่กำลังเปิดต้นฉบับของรูปออกแบบนั้น ห้องทำงานก็ถูกเปิดออก เสิ่นอีเวยนึกว่าเป็นสวี่อันฉิง หล่อนไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่พูดไปว่า : “หัวหน้าสวี่จะหาเรื่องมาก่อกวนอะไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะ ฉันจะเลิกงานแล้ว”
หล่อนไม่ได้ยินเสียงที่ยืนอยู่ปากประตูตอบกลับ เลยสังสัยจึงได้เงยหน้าขึ้น
ที่แท้ก็เซิ่งเจ๋อเฉิง
เสิ่นอีเวยตกใจ : “คุณมาได้ยังไง?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงค่อยๆก้าวเท้าไปยังด้านหน้าของเสิ่นอีเวย : “ฉันมาดูผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบว่าทำงานวันแรกสภาะจิตใจเป็นยังไงบ้าง ดูแล้วก็ยังไหวอยู่”
เสิ่นอีเวยฟังคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็รุ้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เลยตามไปตามนั้น : “รู้สึกว่าก็ได้อยู่นะ ต้องขออภัยท่านประธานด้วยค่ะที่ดิฉันกลั่นแกล้งนักออกแบบมือทองของพวกคุณ”
“อื้อ เธอถูกฉันไล่ออกไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่มาทำงานแล้วแหละ”
เสิ่นอีเวยสีหน้าตกใจและไม่มีอากัปกิริยาตอบโต้ใดๆ : “คุณพูดว่าอะไรนะ? หมี่ย่าถูกคุณไล่ออกแล้วหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ปฏิเสธ เขานั่งสบายๆบนโซฟามุมห้อง : “ไม่ใช่ว่าเธออยากไล่หล่อนออกหรอ? ฉันก็แค่ช่วยเธอแค่นั้นแหละ ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกน่า”
เสิ่นอีเวยโมโหสุดๆ: “ใครอยากให้คุณช่วยกัน ? วันนี้ที่ฉันพูดว่าเซิ่งซื่อไม่อนุมัติให้หล่อนทำงานที่นี่แล้วก็เพื่อขู่หล่อนเท่านั้นเอง เพื่อจะได้ละลายพฤติกรรมความหยิ่งลงบ้างเท่านั้นเอง อีกอย่างหล่อนเป็นนักออกแบบมือทองของฝ่ายออกแบบของที่นี่ ฉันไม่อยากเพื่อฉันแล้วเราจะต้องสูญเสียนักออกแบบมือทองคนสำคัญออกไป ที่ไหนได้คุณนี่แสนดี ไม่พูดอะไรสักคำก็ไล่ออกไปแล้ว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกว่าอยู่ดีๆก็จับทางเสิ่นอีเวยไม่ถูกจริงๆว่าในสมองคิดไรอยู่ รู้แค่ว่าเสิ่นอีเวยในตอนนี้เหมือนได้ของถูกแถมยังเล่นกับความรู้สึกได้ด้วย
“ฉันเป็นคนร้าย ฉันยังไม่ได้บอกเลยแล้วมาโทษฉันขึ้นมา เสิ่นอีเวย ใครให้เธอกล้าขึ้นมาได้เนี่ย?”
เสิ่นอีเวยฟังจากน้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วรับรู้ได้เลยว่าเขาไม่ได้โกรธ เขาก็แค่ใช้หน้าตาท่าทางเคร่งขรึมแบบนี้เป็นประจำเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ
“พฤติกรรมการแสดงออกของเธอในวันนี้ไม่ใช่ตัวตนปกติของเธอ ตามที่ฉันจับความรู้สึกได้ เจ้านายเขาคนก่อนคือสวี่อันฉิงเป็นคนแนะนำมาไม่งั้นหล่อนคงไม่ให้ความเคารพกับฉันได้ขนาดนั้น ฉันไม่คิดว่าจะเอาเรื่องพวกนี้มาโทษหล่อน ฉันอยากจะแสดงให้หล่อนเห็นที่หล่อนแสดงนิสัยแบบนั้นกับฉัน หลังแค่ว่าต่อไปความเจ้ายศเจ้าอย่างของหล่อนเก็บๆลงไปบ้างแล้วก็สามารถทำงานร่วมกับฉันได้ก็พอแล้ว”
เสิ่นอีเวยไม่ได้คิดจริงๆว่าเรื่องความสัมพันธ์พนักงานเล็กๆจะทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงสนใจขึ้นมา แถมยังคิดไม่ถึงว่าเขาจะไล่หมี่ยาออกจริงๆ หล่อนรู้สึกว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ไปหน่อยแล้วแหละ
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองเธอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรสายตาแบบนั้นมันทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกอบอุ่นอยู่สักพัก
“เธอไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ไปทั้งหมด แม้ว่าฉันน้อยครั้งนักที่จะยุ่งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแผนกต่างๆ แต่เรื่องนิสัยการทำงานของพนักงานทุกคนฉันพอรู้เรื่องอยู่บ้าง หมี่ย่าคนนั้นทำงานได้โดดเด่น แต่ที่ฉันรู้มา ในความเป็นจริงแล้วชอบวางตัวเป็นใหญ่ดูถูกคนอื่นไปทั่ว มีช่วงทีแผนกออกแบบได้ให้คนมาใหม่หล่อนไป หล่อนก็ไม่ค่อยใจเย็นกับคนมาใหม่สักเท่าไหร่ แถมยังหาเรื่องพวกนี้ในออฟฟิศอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากใคร คนแบบนี้เอาไว้ในบริษัทก็ปลาเน่า เลยรีบไล่ออกไปก็ไม่มีอะไรแล้ว