บทที่ 130 แขกที่จริงนั่นก็คือถานจงหมิง
เสิ่นอีเวยถึงแม้จะไม่รู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นตอนที่อยู่ห้องทำงานพูดถึงเงื่อนไขคืออะไร แต่ว่าเพียงแต่เขานั้นได้ยอมรับเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
และในเรื่องนี้เสิ่นอีเวยมีการคิดเป็นของตัวเองว่าการคาดหวังที่ผลออกมาดีที่สุดคือเขาเลือกที่จะหย่าร้าง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยทีเดียว ตัวเองก็จะไม่ต้องไปลำบากอะไรอีก แต่ว่าหากเขายินยอมที่จะให้เธอลาออก ก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
พอถึงตอนนั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงก็จะอยู่ที่บริษัทก็จะทำอะไรตัวเธอไม่ได้ เธออยากทำอะไรก็ทำไป พอเขาจะมารู้อีกทีอะไร ๆ ก็สายไปแล้ว
เสิ่นอีเวยก็ได้คิดวางแผนอยู่ในใจ วันที่จะไปพบแขกกับเขาก็ใกล้เข้ามาถึง
สถานที่นั้นก็คือบ้านหลังหนึ่งที่เป็นส่วนบุคคล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่และหรูหราเท่าเซิ่งซื่อหัวถิง แต่ชนะที่สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ และเหมาะสำหรับในการพูดคุยเรื่องต่าง ๆ
วันนี้เวลาสองทุ่ม เสิ่นอีเวยนั่งอยู่บนรถของเซิ่งเจ๋อเฉิง เพราะว่าจะต้องไปพบแขก ดังนั้นเธอก็เลยแต่งตัวอย่างสมเกียรติ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขานั้นเป็นที่รู้กันถ้วนทั่ว แต่ว่าในเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ เสิ่นอีเวยก็ยังรู้ขบมธรรมเนียม
ในคืนนี้เขาใส่ชุดเดรสสีดำเพียงแต่รอบเอวมีความรัดนิดหนึ่งแต่ว่าก็เพียงพอต่อการที่จะทำให้ร่างกายดูดีมีราศีเส่นอีเวยนั่งอยู่ข้าง ๆ คนขับอย่างเงียบ ๆ ตลอดการเดินทางสองคนนี้ไม่พูดจาอะไรเลย
พอผ่านไฟเขียวไป เซิ่งเจ๋อเฉิงได้มองไปยังกระจกเหลือบไปเห็นการแต่งกายของเสิ่นอีเวยวันนี้ ในรถไม่มีแสงไฟแต่อย่างใด คอที่แสนขาวของเธอและสร้อยที่แวววับอยู่ในแสงไฟที่น้อย ๆ ที่ระยิบระยับ พอเขามองไปแบบนั้นมีความรู้สึกแยงตา
เสิ่นอีเวยมองไปยังนอกกระจกเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นก็หันกลับมา เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ละสายตาเหมือนกับสายฟ้าแลบ
เสิ่นอีเวยกลับจับได้ด้วยหางตา แล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณกำลังมองอะไร ? “
เซิ่งเจ๋อเฉิงสีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรก็ขับรถต่อไป ไม่ได้สนใจอะไรแต่อย่างใด ในคืนนี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเป็นเพราะเรื่องราวต่อไปอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้น ?
ไม่ เป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าเขา ควรจะไม่ให้ความรักหรือความรู้สึกแม้แต่นิดเดียว
เธอได้มองเขาไม่ได้ตอบอะไร แล้วรู้สึกแปลกประหลาด จึงได้ถามตัวเองในใจแล้วพูดว่า “แขกที่จะเจอคืนนี้เป็นคนไหนกัน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบไปสักครู่ และมีน้ำเสียงที่ไม่ได้มีอารมณ์อะไร “พอถึงก็จะรู้เอง”
ถึงแม้ในใจเธอนั้นจะสงสัยงงงวย แต่ว่าก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย
รถก็ได้จอดอยู่ข้างทางทั้งสองก็ลงจากรถแล้ว เสิ่นอีเวยก็ได้เงยหน้ามองขึ้นไป บ้านส่วนบุคคลหลังนี้หากมองการตกแต่งแล้วก็ไม่ได้หรูหราอะไร สามารถพูดได้ว่ามีความเงียบสงัดเย็น แต่พอรอทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านในจึงปรากฏว่าการตกแต่งภายในมีความสละสลวยย่งนัก
เลือกสถานที่พูดคุยที่นี่ แขกที่ว่าคงไม่ใช่แขกที่จะเป็นฐานะเล็ก ๆ แน่นอนใช่ไหม ? เสิ่นอีเวยคิดอยู่ในใจ
เสิ่นอีเวยได้เดินตามหลังเซิ่งเจ๋อเฉิง แสงสีบนฝ้าเพดานนั้นระยิบระยับอย่างช้า ๆ ไม่รู้ว่าเสียงเพลงนั้นออกมาจากไหน ทำให้เธอรู้สึกความสงบอย่างไม่รู้ที่มา
เพราะว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็เริ่มเย็นขึ้น ดังนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เลยใส่สูทแขนยาวที่เป็นสีเทา เธอได้เดินอยู่ข้างหลังและมองเงาของเธอ ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องงานศพของแม่เธอ มีชายคหนึ่งอายุยี่สิบสองได้ใส่เสื้อและกางเกงเป็นสีดำ สีหน้าแม้จะซีดไปหมดแต่ก็ยังยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย
เธอกลับรู้สึกทั้งหมดนี้อยู่คนละโลกไปเธอและเขาสองคนเริ่มจากความพัวพันจนผ่านมาเนิ่นนานหลายปี
แต่ว่าหากพบแขกเสร็จแล้วผ่านคืนนี้ไปได้ พอถึงพรุ่งนี้เธอก็จะสามารถให้เขาเลือกเงื่อนไขสองข้อได้แล้ว พอถึงตอนนี้ทุกอย่างก็จะจบลง
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็ถอดถอนหายใจไปอย่างระมัดระวัง
คนข้างหน้าเธอก็ได้หยุดอยู่ตรงที่ห้องรับรรอง เสิ่นอีเวยก็เลยตามไปยืนตรงนั้น ประมาณสิบกว่าวินาที เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่ได้มีการกระทำอะไร เสิ่นอีเวยที่อยู่ข้างนั้นก็รู้สึกแปลกใจ เลยยื่นตัวเองไปมองข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วถามว่า “คุณเป็นอะไร”
แต่เขากลับไม่ได้สนใจเธอ วินาทีต่อมา เลยเอามือผลักประตู
ห้องรับรองที่มีขนาดใหญ่โอ่อ่า บนฝ้าเพดานนั้นมีโคมไฟห้อยระย้าอยู่ บรรยากาศในห้องนั้นเหมาะสมกันไปหมด บนโซฟานั้นมีผู้ชายนั่งอยู่หนึ่งคน
เสิ่นอีเวยได้มองเขาแล้วรู้สึกว่าทำไมน่าคุ้น ๆ ยิ่งนักพอเขาได้มองอีกสักครั้งอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ได้คิดออกมาแล้วว่าเจอเขาที่ไหน
ถานจงหมิง
ไม่ผิดเลย ก็คือครั้งที่สวีอันฉิงส่งเธอไปยังโรงแรมแล้วถูกแอบถ่าย ชัดเจนว่าคนที่แอบถ่ายก็คือผู้ชายข้างหน้าของเขา และในตอนนั้นความรู้สึกของเธอก็เหมือนกับเลือกที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเหมือนจะแข็งตัว
ถานจงหมิงรู้ตัวดีกว่าเห็นพวกเขาสองคนแล้ว เลยรีบลุกขึ้นจากโซฟามาหาเขา เสิ่นอีเวยเลยถอยไปข้างหลังอีกก้าวหนึ่ง พอขากำลังจะก้าวขึ้นมา แต่ว่าขาอันเรียวบางของเธอก็ถูกมือจับเอาไว้
มือของเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยรู้สึกตกใจ เลยเงยหน้ามองเขา สายตาของเขานั้นมองอยู่ที่เธอ เซิ่งเจ๋อเฉิงดวงตาที่ดำเข้มเหมือนกับทะเลในยามค่ำ เสิ่นอีเวยก็เลยเหมือนกับเข้าไปสู่ห้วงของสายตาคู่นั้น
แต่ ณ ตอนนี้เขารู้สึกถึงความกลัวอย่างมาก เพราะว่าสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มีอาการเหมือนเตือนและคุกคามเช่นไรเช่นนั้น
ถานจงหมิงได้เดินไปหาสองคนนั้นแล้วทักทายอย่างปราศรัยว่า “ประธานเซิ่งท่านมาแล้วหรือ ? ”
สายตาก็ได้หรี่ลงและมีแสงเล็ก ๆ ออกมา เขาได้มองไปตรงที่คอของเสิ่นอีเวยแล้วหัวเราะพูดว่า “คุณน่าจะเป็นคุณนายเซิ่งใช่ไหม ? ยินดี ยินดี”
ในขณะที่กำลังพูดก็ได้ยื่นมือซ้ายออกมาและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันน่ากลัว ยิ่งมองยิ่งกลับหลงเหลือสภาพที่ไม่น่าชื่นชม ทำให้เสิ่นอีเวยมีความรู้สึกไม่สู้ดีนัก เหมือนกับกำลังจะอ้วกว่าอย่างไรอย่างนั้น
เธอจึงได้เปลี่ยนสายตามองไปยังที่อื่นแล้วไม่ได้คุยกับเซิ่งเจ๋อเฉิง และไม่ได้ยื่นมือไปจับกับถานจงหมิง พอเปิดปากจะพูด เสิ่นอีเวยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองนั้นปากสั่น แล้วฝีนยิ้ม “มันคืออะไรกัน ? ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองเขาแล้วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมกับถานจงหมิงมีการพูดคุยเรื่องธุรกิจจำนวนสองล้านกว่า วันนี้พวกแล้วก็จะมาคุยเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะ”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่เต็มไปด้วยเงียบร่าย เสิ่นอีเวยไม่สามารถที่จะรับรู้ข่าวสารอะไรได้เลย
เธอพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ชั้นก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะมาทำความร่วมมือกัน ทำไมชั้นจะต้องมาเป็นเพื่อนเธอ”
และในเวลานั้น เสิ่นอีเวยก็ได้นึกถึงตอนที่ตัวเองกำลังอยู่ในรถ เธอได้ถามเซิ่งเจ๋อเฉิงว่าแขกในวันนี้คือใคร แล้วก็ได้มีหน้าตาที่ถมึงทึง และทันใดนั้นทั้งตัวของเธอก็เหมือนถูกโยนทิ้งลงไปในห้องน้ำแข็ง ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและเย็นยะเยือก
เรื่องราวของวันนี้……มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ?
พอถึงตอนนี้ ถานจงหมิงที่อยู่ข้างข้างพูดว่า “อ๋อ เป็นแบบนี้ วันนี้ผมให้ประธานเซิ่งพาคุณนายซิ่งมาด้วย เรื่องแรกคือจะมาพูดคุยเรื่องของการร่วมลงทุนธุรกิจ เรื่องที่สองคือเพราะว่าลูกสาวของผมนั้นกำลังจะแต่งงาน ในช่วงนี้ลูกสาวผมก็กำลังยุ่งในเรื่องของการจัดการแต่งงาน แต่พอรู้มาว่าชื่อเสียงในการจัดการงานแต่งงานของคุณนายเซิ่งนั้นมีชื่อเสียงอยู่มาก ดังนั้นเลยใช้โอกาสนี้มาพูดคุยกับคุณด้วย”