บทที่ 133 ฉันไม่ได้มีเวลามาคุยกับเธออยู่นะ
ถานจงหมิงยังคงพูดเสวนาต่อ : “พูดมาก็แปลกๆนะ ตอนแรกฉันคิดว่ารอให้เซิ่งเจ๋อเฉิงไปแล้วค่อยจัดการเธอต่อเลย แต่ว่าเมื่อกี้ที่ฉันเสนอวิธีการนั่นมันก็ดูดีอยู่นะ ฉันรอคอยผลลัพธ์ตอนนี้ที่เธอโทรศัพท์ไปหาเขาแล้วเขารับสายขึ้นมา แล้วสิ่งที่เขาตอบกลับมาจะเป็นยังไงนะ ฉันล่ะชอบจริงๆเลยการทำเรื่องให้มันตื่นเต้นแบบนี้ ฮ่าๆ”
ถานจงหมิงหัวเราะชอบอกชอบใจ แต่เสิ่นอีเวยฟังเขาแล้วกลับทุเรศเขาอย่างไม่มีชิ้นดี
เธอยืนขึ้นแล้วจ้องมองไปยังชายที่นั่งอยู่บนโซฟาและพูดกับเขาอย่างเย็นชา : “งั้นฉันหวังว่าสิ่งที่คุณพูดถือว่าเป็นคำขาด ฉันจะโทรศัพท์หาเซิ่งเจ๋อเฉิง หากเขามา คุณก็ต้องรักษาคำพูดแล้วปล่อยฉันไป!”
ถานจงหมิงพยักหน้าตอบรับอย่างตกลงไปตามนั้น
เสิ่นอีเวยสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกสติอารมณ์กลับคืนมา ในใจรู้ดีว่าเธอไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกแล้ว เธอยื่นมือคว้านลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มือทั้งสองข้างที่สั่นระริกพยายามหาเบอร์โทรศัพท์ของเซิ่งเจ๋อเฉิงในบัญชีรายชื่อ เอาเข้าจริงไม่ใช่ว่าหาอะไรมากมาย เพราะชื่อตัวอักษรเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นอยู่ในอันดับท้ายๆอยู่แล้วแถมเสิ่นอีเวยยังเพิ่มตัวaเล็กไว้ด้านหน้าชื่อของเขา เพื่อให้เป็นที่สังเกตได้ การทำแบบนี้ทำให้ชื่อของเขาเป็นชื่อแรกที่อยู่รายชื่อบุคคลที่ติดต่อในโทรศัพท์
ตั้งแต่แต่งงานกันมาจนเกือบจะสามปีแล้ว พวกเขาทั้งคู่แทบไม่มีการโทรศัพท์หากันแบบดีกันมาก่อนเลย
รอจนตั้งสติกลับมาได้ถึงได้รู้ตัวว่าโทรออกไปหาเขาแล้ว
มือทั้งสองข้างของเสิ่นอีเวยสั่นตลอด บริเวณหน้าผากเริ่มผุดเม็ดเหงื่อเล็กๆขึ้นมา ชื่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์กำลังส่องสว่างอยู่แต่ไม่มีคนรับสาย ผ่านไปสักพักจนสายหลุด
ใจของเสิ่นอีเวยเหมือนจะถูกแขวนไว้บนยอดต้นไม้สูงบริเวณหน้าผาสูง
หล่อนยังไม่ถอดใจโทรศัพท์ไปหาเขาเป็นครั้งที่สองและกำโทรศัพท์ไว้แน่น ยังกับเหมือนจะบดขยี้มันให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
ในที่สุด ปลายกระบอกสายโทรศัพท์ก็มีเสียงเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงกรอกเสียงมา : “มีธุระอะไร?”
เสิ่นอีเวยเหมือนกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงกำลังจะจมน้ำตายอยู่ดีๆก็เอื้อมมือสัมผัสกับตลิ่งเอาไว้ได้ ในใจเริ่มอุ่นใจขึ้นมา ทว่าเธอพยายามทำเสียงให้ดูเป็นปกติ เธอหันตัวกลับไปจ้องมองถานจงหมิงที่นั่งอยู่ที่โซฟาเขากำลังนั่งสบสายตาให้เธออยู่ เธอพูดกับคนในโทรศัพท์ : “เซิ่งเจ๋อเฉิง คุณมาที่นี่สักแปบนึงได้ไหม?”
นี่เป็นเรื่องที่รู้อยู่ดีอยู่แก่ใจยังจะไปถามเขาอีก ใจของเสิ่นอีเวยเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาเป็นระยะ
“คุณเป็นคนพาฉันมาที่สโมสรนี่”
“ฉันมาที่นี่ทำไมกัน?”
เสิ่นอีเวยสูดลมหายใจเข้าเต็มปาก : “คุณควรที่จะรู้ใช่ไหมว่าถานจงหมิงเขาเป็นคนแบบไหนกัน? คุณให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อคนเดียว ไม่กลัวหรอว่าฉันจะมีอันตรายขึ้นมาหน่ะ?”
เสิ่นอีเวยพยายามควบคุมอารมณ์ไว้เพื่อไม่ให้เสียงตัวเองมีเสียงกล้ำกลืนฝืนทนปนออกไปด้วย
หล่อนได้ยินเสียงหัวเราะอันเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงดังออกมาจากโทรศัพท์: “จะเจออันตรายที่ไหนหะ?ฉันแค่ให้เธอไปคุยกับท่านประธานถานเท่านั้นเอง”
หน้าอกของเสิ่นอีเวยที่เหมือนถูกกดดันไว้ใกล้จะระเบิดออกมา: “คุยหรอ? แค่คุยกันเท่านั้นจริงๆใช่ไหม? เซิ่งเจ๋อเฉิงอย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนอ่ะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่ดูเหมือนกำลังขับรถอยู่เพราะเสิ่นอีเวยได้ยินเสียงแตรดังขึ้น : “ตอนนี้คุณขับรถอยู่ มาหาฉันที่นี่ได้ไหม”
น้ำเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงในโทรศัพท์มันช่างเยือกเย็นดั่งเกล็ดน้ำแข็ง : “เสิ่นอีเวย ฉันจะบอกให้นะว่า ฉันรู้หรือไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนก็ตาม การที่เธอพบลูกค้าแทนฉันมันก็เป็นเงื่อนไขที่เธอรับปากฉันไว้แล้ว อีกอย่าง–”
พูดถึงตรงนี้ เสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็หยุดไปสักพัก: “หัวหน้าสวี่เพิ่งโทรศัพท์มาหาฉัน วันนี้หล่อนกำลังทำงานโอทีเพิ่มเพราะที่บริษัทเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ตอนนี้ฉันต้องกลับไปจัดการ ฉันไม่มีเวลามาคุยกับเธอแล้ว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบก็ตัดสายทิ้งโดยไม่รีรอให้เสิ่นอีเวยตอบกลับมาแต่อย่างใด
ในที่สุดหัวใจของเสิ่นอีเวยที่เหมือนอยู่บนหน้าผามันร่วงหล่นอย่างโรยราจนถึงหุบเหวที่ลึกที่สุดแตกออกเสี่ยงๆละเอียดละอองเป็นผุยผง
หล่อนยืนอยู่ที่เดิมกำโทรศัพท์แน่นไม่ขยับเขยื้อนเหมือนโดนถูกน้ำเย็นสาดรดเข้าอย่างจังบริเวณศีรษะ ขนาดเส้นผมยังเย็นเฉียบ เมื่อครู่… เซิ่งเจ๋อเฉิงเอ่ยชื่อสวี่อันฉิงขึ้นมา ทำไม ทำไมต้องเป็นชื่อผู้หญิงคนนี้ด้วย!
จากที่ฟังน้ำเสียงและการคิดของเซิ่งเจ๋อเฉิงจากโทรศัพท์แล้ว เสิ่นอีเวยแยกแยะออกได้ทันทีสิ่งที่ถานจงหมิงพูดเมื่อกี้นี้เขาไม่ได้โกหกเธอเลยสักนิด เรื่องคืนนี้ รวมถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากเซิ่งเจ๋อเฉิงเดินออกไปจากห้องอาหารนี้ด้วยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เซิ่งเจ๋อเฉิงเขารู้ทั้งหมด
แต่ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงไม่ได้หมดสิ้นเยื่อใยความรู้สึกจนถึงขนาดส่งเธอให้เข้าปากถานจง
หมิงได้ขนาดนี้
ความคิดต่างๆของเสิ่นอีเวยถูกเสียงผู้ชายแทรกขึ้นมา
“โอ้ ตกลงเรื่องเป็นไง? ตอนนี้เธอเชื่อเรื่องที่ฉันพูดแล้วใช่ไหม คุนเสิ่น? ”
เสิ่นอีเวยกำลังจะตอบกลับ แต่ถานจงหมิงอยู่ดีๆก็วิ่งพรวดเข้ามา หล่อนพยายามที่จะหลบหลีกแต่แขนของเธอก็ถูกเขาจับไว้แน่น เสิ่นอีเวยส่งเสียงเรียกอย่างตกใจ : “แกปล่อยฉันนะ!”
น้ำเสียงของถานจงหมิงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น: “ตอนนี้รู้เรื่องแล้วใช่ไหม? เธอเป็นคนที่ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงส่งมาหาฉันถึงที่นี่เลย เดิมทีก็เตรียมตัวทำธุระจริงๆจังๆกับเธอ หลังจากที่เขาเดินออกไป แต่ว่าคืนนี้เธอก็ยังตุกติกเล่นตัวจนก่อเรื่องขึ้นมาได้ จนฉันเนี่ยเสียเวลาไปเยอะ ดูท่าแล้วฉันว่าถึงเวลาที่จัดการเธอให้ถึงใจสักที!”
ใจเสิ่นอีเวยช่างตื่นตระหนกจนหาที่เปรียบไม่ได้ เหมือนว่าเธอกำลังอยู่บนเกาะร้างและกำลังร้องขอการช่วยเหลืออยู่ แต่กลับมีเพียงเธออยู่บนเกาะผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลืออะไรได้จากใครเลย
หล่อนเริ่มอดทนต่อไปไม่ไหว น้ำตาหลั่งไหลพรุ่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย
เสิ่นอีเวยถูกถานจงหมิงยื้อยุดฉุดกระชากลากไปทางโซฟา ตลอดทางเสิ่นอีเวยพยายามถอดรองเท้าส้นสูงออก ร่างกายที่หนักอึ้งร่วงหล่นบนโซฟาอันอ่อนนุ่ม คืนนี้เสิ่นอีเวยสวมใส่ชุดกระโปรงยาวดูท่าไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร ยิ่งตอนนี้ก็พยายามยื้อยุดดึงกระโปรงอย่างเอาเป็นเอาตายและพยายามใช้เท้าถีบถานจงหมิงอยู่ตลอด
ทว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชาย เสิ่นอีเวยสู้จนไม่มีแรงจะสู้กับพละกำลังของเขา จนแรงต่อสู้ค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
แวบเดียว ร่างกายอ้วนเผละของถานหมิงจงก็กดทับลงมา เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยออก ลำคอที่ขาวระหงกลับถูกปากที่น่าขยะแขยงของถานจงหมิงครอบครอง เธอรับรู้ถึงน้ำลายสกปรกขยะแขยงนั่นที่ผู้ชายที่อยู่บนตัวนั่นทิ้งร่องรอยไว้
“ออกไป! ปล่อยฉัน!” เสิ่นอีเวยเปล่งเสียงอย่างแหบแห้ง
เธอพยายามใช้แรงต่อสู้และพยายามใช้มืออีกมือหนึ่งควานหาโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อโทรศัพท์หาตำรวจ ตอนนี้ในสมองเธอมีแต่เรื่องพวกนี้เท่านั้น
ดูจากสายตาแล้วใกล้จวนที่จะหยิบโทรศัพท์ได้แล้ว อยู่ดีๆก็มีคนใส่รองเท้าหนังสีดำเดินแทรกเข้ามาแล้วถีบโทรศัพท์ออกห่างไปไกลหลายเมตร ความหวังสุดท้ายในใจของเสิ่นอีเวยก็มลายมอดไหม้ไปหมดสิ้น
แต่ในเวลานี้วินาทีนี้ ในหัวของเธอกลับมีใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงปรากฏล่องลายขึ้นมา ทว่าเธอกลับถูกถานจงหมิงทับเรือนร่างไว้อย่างหนาแน่น แถมเธอยังหันหัวไปมองบริเวณประตู ช่างน่าหัวเราะตัวเองเสียจริงๆจนถึงขนาดนี้แล้วยังหวังว่าเขาจะมาอีก…
สิ่งที่เขาพูดออกมาว่าสวี่อันฉิงเรียกเขาไป บางที…เรื่องราวมันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก็ได้? ยิ่งคิดถึงเรื่องทุกครั้งที่เขารู้สึกดีกับสวี่อันฉิง ดูแล้วเขาคงไม่ได้เกลียดอะไรผู้หญิงคนนั้น
มือที่อยู่ข้างตัวกำลังควานหาอย่างมั่วซั่วเพื่อควานหาอะไรก็ตามเพื่อจะที่ป้องกันตนเองได้ แม้ว่าจะไม่มีคนมาช่วยเธอก็ตาม ตัวเธอเองก็ไม่ควรให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้
ในที่สุด อุ้งมือของเธอก็คลำหาสิ่งของแข็งๆบางอย่างได้ หล่อนหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันคือที่เปิดขวดไวน์แดง ในห้องอาหารรับรองแบบนี้มักจะมีการดื่มไวน์อยู่ตลอด ยิ่งเจอของพวกนี้ถือว่าไม่ได้แปลกประหลาดใด ณ ตอนนั้นเองเสิ่นอีเวยคว้ามันมาไว้ในมือเหมือนกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้ายของการรอดชีวิตไว้wfh
มืออวบอ้วนเทอะทะทั้งสองข้างของถานจงหมิงนั่นกำลังรุกล้ำเข้าไปในกระโปรงของเสิ่นอีเวย เขาใช้แรงหนักหน่วงเค้นคลึงบริเวณต้นขาของเธอ ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกขยะแขยงจนอยากจะอาเจียนขึ้นมา
ด้านล่างของที่เปิดขวดไวน์มีลักษณะเกลียวเป็นชั้นๆ เสิ่นอีเวยโมโหมากหล่อนพยายามกัดฟันอดทนเอาไว้และจับบริเวณด้านบนมันไว้ในมืออย่างหนักแน่นและปักทิ่มบริเวณด้านหลังของถานจง
หมิงเข้าอย่างจัง!
“โอ๊ย!”
ห้องรับรองขนาดใหญ่กลับมีเสียงกรีดร้องของชายผู้หนึ่งดังขึ้นมา ในเวลาเดียวกับประตูหน้าห้องกลับมีคนเปิดประตูออกดัง “ปึง”
เสิ่นอีเวยตกใจรีบหันไปมองบริเวณประตู