บทที่ 202 คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่
แม้ต่อหน้าจะเห็นหน้าที่ที่เยือกเย็นของเจิ้งอวิ๋นชวน แต่สิ่นอีเวยก็ไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย เธอได้กวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า “คำพูดที่ทุกคนได้ซุบซิบพูดจากันชั้นได้ยินหมดแล้ว หากใครปัญหาอะไรสามารถถามชั้นได้เลย ชั้นจะใช้ความอดทนที่สุดในการตอบคำถามทุกคน”
พอพูดออกไป เสิ่นอีเวยก็รู้สึกว่าหน้าอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองนั้นมีความเย็นอยู่ เงยหน้าขึ้นมาจึงได้เห็นเจิ้งอวิ๋นชวนได้มองเธอด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรเขา และพูดต่อว่า “ชั้นพูดจริง ๆใครมีอะไรก็ถามออกมาเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ทุกคนในพื้นที่นั้นได้มองไปยังเจิ้งอวิ๋นชวนซึ่งมีสีหน้าเช่นนั้น แล้วใครจะกล้าไปถาม ?
เสิ่นอีเวยได้มองไปยังสายตารอบ ๆ แล้วมามองเจิ้งอวิ๋นชวนด้วยหน้าตาที่เกลียดเธอเป็นอย่างที่สุดจนอยากจะกินเข้าไป ในใจเธอกลับเต็มไปด้วยความสะใจ
ความคิดที่ชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาในหัว เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ไปแคร์ถึงอะไรแล้วพูดออกไปว่า “ทุกคนไม่มีปัญหาอะไรเลยหรือ ? เมื่อกี้นี้เห็นพูดคุยปรึกษากันใหญ่โตเลย การเป็นคนน่ะ ก็ต้องมีความซื่อสัตย์อยู่บ้าน แต่หากว่าพวกคุณไม่กล้าที่จะถาม หรือว่าเกรงว่าจะเป็นการเกรงใจในตัวของคุณเจิ้งแล้วเช่นนั้น ชั้นก็คงจะต้องขอตอบทุกปัญหาที่ชั้นได้ยินเมื่อสักครู่นี้ก็แล้วกัน รับรองว่าสามารถทำให้ทุกคนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น”
พอพูดเสร็จประโยคนั้นไปแล้ว เสิ่นอีเวยก็ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อยแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เมื่อห้าปีก่อนคนที่นั่งข้างๆพวกคุณเจิ้งอวิ๋นชวนได้ถอดเสื้อออกมา และได้ส่งรูปที่ไม่ควรจะส่งให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง นี่คือเรื่องย่อ ๆ ที่เกิดขึ้น หากทุกคนอยากจะฟังแบบละเอียดแล้วล่ะก็ ชั้นก็จะพูดให้ฟังก็ได้”
สีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเธอก็ได้พูดจนหมด เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองนั้นรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก เธอได้ยื่นมือออกมาเพื่อจับเก้าอี้ลากมาอีกที่หนึ่งแล้วก็นั่งลง เพื่อที่จะดูว่ายังมีใครคุยกันอยู่ไหม
ทันใดนั้น เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้พูดท่ามกลางเสียงแห่งความเงียบที่ผสมด้วยความโกรธ
“พวกคุณจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ? ”
ที่นั่งของเจิ้งอวิ๋นชวนคือมุมของโซฟา และแสงไฟตรงนั้นมีความมืดซ่อนอยู่ดังนั้นเลยไม่มีใครเห็นใบหน้าที่แสดงออกมา เพียงแต่ได้ยินเสียงที่โมโหของเขา
เขาใช้คำว่า “พวกคุณ” ในที่นี้หมายถึงคนที่นั่งอยู่บนโซฟา การที่คุณชายเจิ้งโมโหไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ไม่ถึงสามสิบวินาทีทุกคนก็ได้ออกจากห้องนั้นไปหมด เหลือเพียงแต่เขาและเสิ่นอีเวย
ในห้องรับรองนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนปิดประตูแบบเบา ๆ ไป ระยะห่างของเสิ่นอีเวยและเจิ้งอวิ๋นชวนก็เหลือเพียงแค่สามสี่เมตร ในห้องนั้นมีความเงียบอย่างที่สุด
พอผ่านไประยะเวลาหนุ่ง เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้พูดขึ้นมาว่า “คุณพูดพอหรือยัง?”
เสิ่นอีเวยยิ้มอย่างเบา ๆ และพูดอย่างไม่ระมัดระวังว่า “ขอโทษทีค่ะ ชั้นไม่เข้าใจความหมายของคุณเจิ้ง”
เสิ่นอีเวยแกล้งทำเป็นโง่
เจิ้งอวิ๋นชวนพูดต่อไปว่า “ตอนที่คุณในสายโทรศัพท์ ไม่ใช่ว่าจะมาขอโทษผมกระนั้นหรือ ? แต่ตอนนี้ดูเหมือนคุณหญิงเสิ่นจะไม่ใช่มาขอโทษนะครับ”
คำพูดของเจิ้งอวิ๋นชวนมีท่าทีที่ชัดเจนมาก แต่เสิ่นอีเวยกลับไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
“ความจริงก็เป็นเช่นนี้ วันนี้จริง ๆ แล้วชั้นจะมาขอโทษคุณ และในตอนแรกชั้นก็ได้มีท่าทางที่ชัดเจนว่าจะมาขอโทษแล้ว แต่คำพูดของคุณในทุก ๆ คำที่ทำให้ชั้นรู้สึกลำบากใจ ทำให้ชั้นตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นชั้นจึงใช้วิธีที่เหมาะสมในการตอบโต้คุณยังไงล่ะ ”
มุมปากของเจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้ดูเหมือนจะเย็นลงเรื่อย ๆ “สิ่งที่คุณทำเรียกว่า เหมาะสม หรือ ? “
ต่อหน้าผู้คนมากมาย นำเรื่องเมื่อห้าปีก่อนมาเล่าให้คนอื่นฟัง ในสายตาของเจิ้งอวิ๋นชวนจะมองอย่างไร
ทั้งหมดล้วนไม่ใช่วิธีแห่งความ “เหมาะสม” แต่กลับเป็นแค้นที่จะต้องชำระครั้งใหม่
ดังนั้นเขาจึงเพียงแต่อดทนที่จะถูกผู้หญิงคนนี้ทำไปก่อน ทั้งที่ไม่สามารถที่จะระงับอารมณ์ตัวเองได้
หากไม่ใช่เจิ้งโป๋หงพูดครั้งแล้วครั้งเล่ากับเขา หากจะทำหรือพูดอะไรก็อย่าไปลำบากใจหรือทำร้ายความรู้สึกของคุณหญิงเสิ่นมากเกินไปเพราะว่าเขาคือคนของเซิ่งเจ๋อเฉิง ซึ่งบริษัทเซิ่งซื่อมีอิทธิพลในเขตจงหัวเป็นอย่างมาก
ใช่แล้ว วันแรกที่ไปถึงบริษัทเซิ่งซื่อ เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้เห็นเสิ่นอีเวยในห้องทำงาน หลังจากนั้นก็ได้นำเรื่องไปบอกเจิ้งโป๋หง ซึ่งมีคำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า บิดาย่อมรู้จักบุตรของตนเป็นที่สุด
เจิ้งโป๋หงเป็นคนที่เข้าใจลูกของตนอย่างลึกซึ้ง จากเล็กจนโตหากได้รับความไม่เป็นธรรมก็ต้องมีการแก้แค้นกันเกิดขึ้น ไม่อยากฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใครก็จะต้องล้างแค้น ตอนนี้เจิ้งโป๋หงอายุมากก็ขึ้นแล้วเมื่อเจอกับนิสัยที่แข็งกร้าวเช่นนี้ก็คงขัดขวางไว้ไม่ได้
หน้าที่ของคนเป็นพ่อ เขาจะต้องช่วยเหลือเจิ้งอวิ๋นชวนให้รู้ถึงสถานภาพที่จริง ห้าปีก่อนที่เสิ่นอีเวยทำให้เจิ้งอวิ๋นชวนเกิดเรื่องนั้นกระทั่งทำให้กิจการของตระกูลเจิ้งได้รับผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ เจิ้งโป๋หงจึงเพียงแต่ที่จะให้ลูกชายตนเองรับรู้ถึงความเป็นจริงของเรื่องราว
เจิ้งอวิ๋นชวนถึงแม้จะมีนิสัยแข็งกร้าวแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยปิดบังความจริง เรื่องเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น ดังนั้นหลังจากที่เจิ้งอวิ๋นชวนได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เจิ้งโป๋หงก็รู้เลยว่าที่เสิ่นอีเวยทำแบบนั้นเพราะว่าลูกชายเขาเป็นคนทำก่อน
ดังนั้นเรื่องที่มาบริษัทเซิ่งซื่อในครั้งนี้ ซึ่งรู้ว่าเสิ่นอีเวยเป็นภริยาของเซิ่งเจ๋อเฉิง เจิ้งโป๋หงก็เลยให้คำเด็ดขาดว่าอย่าทำอะไรให้เสียหายอีก
และการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่พวกเขาที่จะสามารถทำแทนกันได้ การเงินของบริษัทเซิ่งซื่อ เจิ้งโป๋หงก็ได้มีการรับรู้ถึงสถานภาพอยู่แล้วว่าเป็นเช่นไร
หลานคนโตของเซิ่งสวินคือเซิ่งเจ๋อเฉิง เป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ ทำงานเด็ดขาด ความสามารถเป็นเลิศในส่วนนี้เขาก็รู้ดี
การลงนามในครั้งนี้กับบริษัทเซิ่งซื่อ ทั้งสองฝ่ายจะเกิดอะไรขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ เจิ้งโป๋หงก็ได้ให้ลูกของตนเจิ้งอวิ๋นชวนห้ามทำอะไรส่งเดช แต่เขาก็รู้จักนิสัยลูกของเขาดี
เจิ้งอวิ๋นชวนคนนี้ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ดังนั้นก็ไม่สู้ให้เขาทำตามใจตัวเอง ก็จะต้องมีการตักเตือนกันบ้างเล็กน้อย
และในตอนนี้เจิ้งโป๋หงก็ได้ทำการเตือนเจิ้งอวิ๋นชวน และได้มองไปยังผู้หญิงที่ไม่กลัวเขา จนเขาอยากจะให้ผู้หญิงคนนี้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและการอับอายขายหน้า
แต่การเป็นผู้ชาย แม้จะอย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องรักษาความเป็นสุภาพชนเอาไว้
เจิ้งอวิ๋นชวนได้เก็บอารมณ์ความโกรธของตนเองเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “อ้อ คุณหญิงเสิ่นไม่ใช่ว่าจะมาขอโทษหรือ ? ให้ผมฟังคำขอโทษคุณหน่อยสิ”
สีหน้าของเสิ่นอีเวยมีความเยือกเย็น ที่เห็นสภาพที่ไม่น่าดูของเขา ในใจของเธอก็กลับมีความโมโหขึ้นมาอีก แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ควรที่จะเป็นเวลาในการโมโห
เสิ่นอีเวยมองหน้าเจิ้งอวิ๋นชวนและค่อย ๆลุกจากเก้าอี้
ในใจเธอก็คิดคำพูดมากมาย แล้วพูดอย่างสงบเสงี่ยมว่า “คุณเจิ้งคะ ชั้นขอโทษเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อน ขอโทษค่ะ “
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็ทำการก้มลงทำคาวมเคารพของเจิ้งอวิ๋นชวน
พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “หวังว่าคุณจะมีความร่วมมือที่ดีตอ่กันกับบริษัทเซิ่งซื่อ