บทที่ 219 เสิ่นอีเวยมึนล้มลงไป
เสิ่นอีเวยพูดอยากเหมาะสม และมีน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ในห้องเดิมทีก็มีความเงียบงันอยู่แล้ว ชายทั้งสองคนไม่คิดว่าเสิ่นอีเวยจะพูดขึ้นมา
เสิ่นอีเวยพอพูดจบ เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า คุณหญิงเสิ่นจะมีความรู้สึกต่อประธานเซิ่งขนาดนี้ ดูแล้วเรื่องที่พูด ๆกันมา คงไม่ใช่เรื่องจริงแล้วล่ะ”
เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ไปสนใจอะไร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเธอปกป้องเซิ่งเจ๋อเฉิงจนทำให้เจิ้งอวิ๋นชวนโมโห เหมือนกับได้จุดไฟให้กับเขา ท่าทางการใช้มือก็เริ่มขึ้น
“ไพ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่ได้ดีดโทรศัพท์ไปให้เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้ตกลงพื้นลง แต่โทรศัพท์ไม่ได้เป็นอะไร
เจิ้งอวิ๋นชวนได้เห็น ก็ได้เดินไปเพื่อเหยียบขยี้ซ้ำ
เซิ่งเจ๋อเฉิงและเสิ่นอีเวยก็ยืนมองเรื่องที่เกิดทั้งหมด ทำให้สองคนนี้รู้สึกเหมือนกับความปัญญาอ่อนลอยมายังบนหน้า
เสิ่นอีเวยเห็นเจิ้งอวิ๋งชวนที่โมโหเป็นอย่างมาก ก็ได้เพียงแค่หัวเราะเยาะเย้ยเขา แท้จริงแล้วเขาก็เป็นคนปัญญาอ่อนเช่นนี้นั่นเอง
พอทำลายโทรศัพท์เสร็จแล้ว เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้พูดกับเซิ่งเจ๋อเฉิงว่า “ขอโทษทีเมื่อสักครู่นี้ลืมตัวไป ผมรู้ดีกว่า หลักฐานแบบนี้คงไม่ใช่มีชิ้นเดียว ในเมื่อประธานเซิ่งเป็นคนที่พร้อมต่อการต่อสู้ใช่ไหม ? ”
เสิ่นอีเวยและเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ยืนมองเจิ้งอวิ๋นชวน
เซิ่งเจ๋อเฉิงยิ้ม สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหลังจากที่เจิ้งอวิ๋นชวนทำแบบนั้น ทั้งร่างกายแสดงถึงชัยชนะที่ได้มาตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น
“คุณเจิ้งมีความคิดวิเคราะห์ตัดสินดีกว่าเมื่อสักครู่นี้มากมาย ความจริงแล้วหลักฐานเหล่านี้ยังมีอีกมากมาย”
ความหมายก็คือ ทำไมจะต้องเสียแรงด้วยเล่า
เจิ้งอวิ๋นชวนยิ้ม แต่ไม่ได้ทำให้เสิ่นอีเวยเห็นถึงความบ้าระห่ำของเขา
หลังจากนั้นเจิ้งอวิ๋นชวนพูดต่อมาว่า “ผมแค่อยากเห็นความสัมพันธ์อันแน่แฟ้นของสามีภรรยา คุณหญิงเสิ่นมาขอโทษผมแทนคุณ ขนาดผมกักขังเขาไว้ในห้องเก็บเหล้า แล้วมีท่าทีที่น่ากลัวขนาดนั้น และได้ทำเรื่องที่ขอร้องผมต่าง ๆนานามากมาย ทำให้ผมได้รู้ถึงเรื่องจริง เลยทีเดียว”
ในห้องนั้นก็ได้เข้าสู่ความเงียบงันครั้งใหม่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ความจริงแล้วเธอก็รู้แล้วว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เพราะเสิ่นอีเวยไม่อยากให้เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ว่าเธอนั้นเป็นโรคกลัวในที่แคบและมืด
ในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิง ยังเขารู้ความอ่อนแอมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เขานั้นทรมานเธอมากเท่านั้น
เจิ้งอวิ๋นชวนในน้ำเสียงที่ธรรมดาไม่ดังและเบาจนเกินไป ทุกคำพูดก็เข้าหูเซิ่งเจ๋อเฉิงทั้งหมด เขานั้นได้ตกใจไปชั่วครู่หนุ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรมากมายนัก เพราะว่าเขาเป็นคนที่รอบคอบเลยไม่ได้เผยสีหน้าให้ใครรับรู้ถึงความในใจ
เสิ่นอีเวยไมได้ขยับตัวอะไร เซิ่งเจ๋อเฉิงที่นั่งอยู่ได้หันมามองเธอ แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะไปมองเขา
“เข้าไปในห้องเก็บเหล้า ? เกิดอะไรขึ้น ? ” เซิ่งเจ๋อเฉิงมีน้ำเสียงที่เย็นชามาก เหมือนกับน้ำเย็นราดลงบนร่างกาย
เสิ่นอีเวยตกใจเป็นอย่างที่สุดแต่ก็ยังสามารถที่จะรักษาความสงบไว้ได้
และเจิ้งอวิ๋นชวนได้เห็นถึงความเป็นมาของเซิ่งเจ๋อเฉิงกับเสิ่นอีเวย และได้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงดึงสติกลับมา
เจิ้งอวิ๋นชวนได้พูดด้วยน้ำเสียงขำขันว่า “ขอโทษที ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ? หรือว่า……”
น้ำเสียงที่ลากยาวนั้นทำให้เสิ่นอีเวยมีความรู้สึกน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
“ประธานเซิ่งไม่รู้หรือว่าภรรยาตัวเองเป็นโรคกลัวในที่แคบและมืด”
เสิ่นอีเวยโมโหและด่าผู้ชายคนนี้ว่าไอ้พวกเกลียดความสงบ หากเรื่องราวไม่ได้มีความเคร่งขรึมและตึงเครียดขนาดนี้ เธอคิดว่าจะถอดรองเท้าแล้วตบไปยังหน้าของเขา
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้มองไปยังเจิ้งอวิ๋นชวน และไม่ได้ไปสนใจคำพูดของเขา และได้หันมาหาเสิ่นอีเวยสองวินาที
หลังจากนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “คุณเจิ้ง ผมคิดว่าตอนนี้เวลาก็ไม่ช้าแล้ว ผมยังมีงานที่ต้องทำ ตอนนี้คงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนได้ ขอให้คุณเจิ้งตามสบาย”
พอพูดเสร็จก็เดินไปยังทางประตู และก็ได้หันกลับมามองแล้วพูดกับเจิ้งอวิ๋นชวนอีกว่า “อ้อ ผมลืมบอกคุณไป เรื่องที่เกี่ยวกับคุณเมื่อสักครู่นี้ ก็รอเวลาที่เหมาะผสม แล้วคุณจะเห็นในสำนักข่าวใหญ่ ๆ เอง ขอตัวก่อน”
พอฟังคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงเสร็จ เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้เพียงแค่ยืนอย่างนิ่ง ๆ และหมดสภาพการตอบสนองเรียบร้อยแล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินออกไปไม่ถึงสองก้าว แล้วไม่ได้ยินเสียงจากคนข้างหลัง แล้วหันกลับไปมองเสิ่นอีเวยที่เหม่ออยู่นั้น “ทำไมไม่ไปอีก ? หรือว่ารอผมมาอุ้มคุณไป ?”
เสิ่นอีเวย “…….”
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อสักครู่ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดเสร็จไปเรียบร้อยแล้วนั้น เหมือนกับเรื่องราวกำลังถึงจุดสูงสุดแล้ว
สำหรับเจิ้งอวิ๋นชวนจะไปรับมืออย่างไร และแก้ไขอย่างไรกับเรื่องราวพวกนี้ก็ไม่สามารถจะรับรู้ได้แล้ว
การออกหน้าครั้งนี้มีความโหดร้ายมาก โหดร้ายจริง ๆ เสิ่นอีเวยไม่สามารถที่จะบังคับจิตใจไม่ให้คิดไปได้ในประโยคที่พูดว่า “รอผมมาอุ้มคุณหรือ? ” เสิ่นอีเวยรู้สึกหน้าแดงไปถึงหู แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สึกถึงอบอุ่นในคำพูดนั้น ความจริงแล้วเป็นเพราะความมึนเมา เพราะในใจของเธอก็มีคำตอบอยู่แล้ว
เธอเมาแล้ว
ใช่แล้ว ดื่มไปหนึ่งขวดเสียขนาดนั้น ไม่เอาได้อย่างไรล่ะ
ดังนั้นที่เธอไมได้ตามเซิ่งเจ๋อเฉิงไปเพราะเธอนั้นเมาและไม่ได้สามารถตามให้ทันได้ ไม่ใช่เพียงเขาอาการเมาของเธอ แต่เป็นเพราะตอนนี้เริ่มเลือนรางแล้ว เลยไม่สามารถจะขยับตัวได้เลย
มองไปยังเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มองหน้าเธออยู่อย่างนั้น เสิ่นอีเวยก็ได้ควบคุมอารมณ์ความรู้ของตัวเอง แต่เมื่อสักครู่ที่เดินมาสองก้าวนั้น ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เหมือนจะถูกต้องนัก
ความจริงแล้วถ้าเมาธรรมดาก็พอพูดไป แต่ตอนนี้กระเพาะของเธอเริ่มรู้สึกมีความร้อนแรงเป็นอย่างมาก จนทำให้มีความเจ็บปวดถึงที่สุด
เสิ่นอีเวยรู้ว่า ผลกระทบหลังจากการดื่มเหล้านั้นมาแล้ว ความจริงแล้วคนออกมาเจอโลกกว้าง สิ่งเหล่านี้ก็จำเป็นเช่นกัน
เจ็บกระเพาะจนทำให้เสิ่นอีเวยหายใจลำบาก พอจะยกเท้าขึ้นก็เหมือนเขาเหยียบอยู่บนสำลีไม่อาจจะเหยียบถึงพื้นได้ เจ็บปวด เจ็บปวดจริง ๆ
แต่ว่าเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังไม่ได้ออกไปไหน เจิ้งอวิ๋นชวนก็ยังอยู่ เธอไม่อยากจะล้มลงไป แต่ว่าในใจไม่อยากแต่กำลังไม่สู้ เสิ่นอีเวยก็เลย เธอรู้สึกว่าพละกำลังตัวเองนั้นเหมือนถูกดูดไปจนหมแล้ว
“เซิ่ง” เสิ่นอีเวยอยากจะร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเสียงพยางค์ที่อ่อนแอเหลือเกิน และยังไม่มีพละกำลังที่จะพูด เธอได้เพียงแต่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของเซิ่งเจ๋อเฉิง ขาและกำลังเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงถึงขีดสุด
เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และได้หันกลับมามองเห็นเสิ่นอีเวยนอนอยู่บนพื้นพอดี ในหัวสมองเหมือนกันมีแสงผ่านมาอย่างจัง เขาเดินก้าวยาว ๆ มาไปยังด้านหน้า
“เสิ่นอีเวย !”