บทที่ 288 ชีวิตใหม่ของเสิ่นอีเวย
แต่ครั้งนี้เซิ่งเจ๋อเฉิง เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดฉินโม่แล้ว เพราะในใจเขารู้แต่แรกว่าฉินโม่นั้นไม่ใช่คนหน้าซื่อใจคด
และเซิ้งเจ๋อเฉิงก็ดูออกตั้งแต่แรกเห็นว่าฉินโม่ไม่ใช่จอมวางแผนอย่างเซียวหันถิง ที่ต้องทำให้เขาคอยระแวงระวังตัวตลอดเวลาประเภทนั้น ดังนั้นหลังจากที่เสิ่นอีเวยพยายามมาอธิบายให้เขาฟังหลายรอบ เขาจึงมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างพวกหล่อนกับฉินโม่
แต่เมื่อได้รู้ว่าเสิ่นอีเวยไม่ได้บอกเรื่องที่หล่อนจะจากไปให้กับฉินโม่และเซียวหันถิงรู้ เขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยเสิ่นอีเวยไป
ในเมื่อคุณไม่บอกผมเรื่องที่คุณจะจากไป ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้นดีที่สุด
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ในใจเขาจะรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก
เป็นวันที่อากาศดีมากวันหนึ่ง แม้จะเป็นต้นฤดูหนาวแล้ว ต่อให้แดดแรงแค่ไหนแต่อุณหภูมิก็ยังต่ำมาก
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่สวมชุดนอนสีเทา กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร มือซ้ายกำลังถือแก้วนมที่ค่อนข้างร้อน มือขวาเคาะเบาๆบนโต๊ะอาหาร
ท่าทางแบบนี้เป็นท่าที่เขาทำประจำเวลาใช้ความคิด จริงๆแล้วเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เสิ่นอีเวยหายตัวไปเป็นเวลาสามเดือนแล้ว บางสิ่งบางอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยที่เราไม่รู้มาก่อน ทำให้คนเราไม่ทันได้สังเกต
ชุดนอนชุดนี้ของเซิ่งเจ๋อเฉิงค่อนข้างบาง แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาว
ยี่สิบนาทีก่อนหน้านั้น หลินอวี้โทรมารายงานเขาว่ายังไม่พบร่องรอยของเสิ่นอีเวย
จนเมื่อสักครู่ สมองของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นในหัวของเขา
หากใช้วิธีนี้ค้นหาต่อไป ก็อาจจะไม่มีทางหาเสิ่นอีเวยพบ หนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่เข้าใจว่าหล่อนชอบอะไร ไม่รู้ว่าตัวคนเดียวอย่างหล่อนชอบไปที่แบบไหน สองเพราะเขาไม่รู้ว่าหล่อนมีปฏิสัมพันธ์กับใครบ้าง แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดของเสิ่นอีเวยเขายังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์กับคนอื่น
บวกกับก่อนหน้าที่หล่อนจะจากไปไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ทันได้รู้ตัว นั่นทำให้เขามองข้ามรายละเอียดต่างๆไปหลายจุด
มาถึงตอนนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า สำหรับเขาเสิ่นอีเวยก็เป็นเหมือนแผ่นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์แผ่นหนึ่ง เพราะเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย
และถึงแม้ตอนนี้จะอยากจะทำความเข้าใจ ก็สายไปเสียแล้ว
ความรู้สึกนี้จะอธิบายอย่างไรดีนะ ก็คือเป็นความรู้สึกทั้งโกรธทั้งห่วง เซิ่งเจ๋อเฉิงบางครั้งก็รู้สึกสับสนวุ่นวายมาก
เขาก็จะหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เขากับเสิ่นอีเวยอยู่ด้วยกัน
เพราะมีเพียงแค่วิธีนี้ปะติดปะต่อกันมากระตุ้นสมองส่วนกลางของเขา เขาถึงจะไม่รู้สึกเหมือนเสียแรงเปล่าที่หาหล่อนไม่พบเสียที
อีกฝากฝั่งหนึ่งของมหาสมุทร ณ ประเทศอังกฤษ พระอาทิตย์สาดแสง
ในห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเข็นรถซื้อสินค้าคันเล็กๆไปข้างหน้า ใบหน้าของเธองดงาม โดยเฉพาะดวงตาเป็นประกายคู่นั้น ที่ช่างเหมือนกับเอลฟ์เลยทีเดียว อายไลเนอร์ที่หางตาหล่อนกระดกขึ้นเล็กน้อยยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะริมฝีปากแดงเรื่อ ที่สะกดความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมา
ผิวของเสิ่นอีเวยขาวดุจเซรามิก ไม่ใช่แค่เพียงใบหน้าเท่านั้นที่ขาวแต่แขนและขาที่โผล่ออกมาจากเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นก็ขาวเช่นกัน ผมยาวปลายดัดลอนเล็กๆสยายลงมาที่หัวไหล่ แว่นกันแดดอันใหญ่ถูกผลักไว้อยู่เหนือศีรษะ สันจมูกโด่งสวยได้รูป
วั นนี้หล่อนต้องการความสะดวกสบายเวลาออกนอกบ้าน จึงไม่ได้สวมมินิเดรสแบบที่หล่อนชอบสวมเป็นประจำ เพราะวันนี้ต้องพาเด็กน้อยมาซื้อของหลายอย่าง จึงเลือกสวมชุดกระโปรงยาวตัวหลวมเพื่อความคล่องตัว พยายามเลือกสวมสีดำเพื่อจะอำพรางรูปร่าง แต่ว่าหล่อนเองก็เป็นคนรูปร่างดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นรูปร่างสูงเพรียวเวลาเดิน สามารถพูดได้ว่าสวยกว่านางแบบมืออาชีพเสียอีก
มือที่กำลังผลักรถเข็นอยู่นั้น ภายในรถมีเด็กหญิงตัวน้อยสวมหมวกสีแดงนั่งอยู่ ดูแล้วน่าจะอายุประมาณ3ขวบ สวมเอี๊ยมยีนส์สีอ่อน ถึงแม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆแต่เพราะชุดที่สวมใส่นั้นเข้ากัน ทำให้ฉายแววความน่ารักออกมา
ดวงตาโตของหญิงสาวเป็นประกายระยิบระยับ ประหนึ่งดวงดาวสองดวงที่ส่องสว่างที่สุดบนท้องฟ้า แม้ว่าหมวกแก็ปจะใหญ่ไปจนแทบจะบดบังตาและจมูกของหล่อนมิดก็ตาม
แค่มองปากเล็กๆและคางเรียวสวยนั้นคนที่เดินผ่านไปมาด้านข้างก็ถูกดึงดูดด้วยความน่ารักของเด็กน้อยคนนี้แล้ว
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ สองคนกับเสิ่นอีเวยเหมือนอยู่ในภาพวาดเดียวกัน กลายเป็นภาพที่สวยที่สุดในห้างสรรพสินค้า
“คุณเสิ่น ของที่พวกเราต้องซื้อ ซื้อมาครบหรือยังคะ”เด็กน้อยที่นั่งในรถเข็นเงยหน้าขึ้นมามองไปยังด้านหลังเสิ่นอีเวยที่กำลังเข็นรถ
เด็กน้อยเพิ่งสามขวบ ดังนั้นการออกเสียงจึงยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก ใครได้ฟังแล้วก็จะรู้สึกอ่อนโยนน่ารัก
เมื่อเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมา ทำให้คนรอบข้างเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน
เครื่องหน้าสวยงามขาวนวลเนียนเจิดจรัส ดวงตาโตดำขลับ จมูกเล็กๆโด่งเป็นสัน ปากกระจับสวย นอกจากใบหน้าที่ดูขาวซีดไปหน่อยแล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกับเจ้าหญิงที่สวมกระโปรงฟูฟ่องออกมาจากในเทพนิยาย
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ คนหนึ่งมีเสน่ห์ และดูใส่ซื่อไร้เดียงสา อีกคนน่ารักแสนซนสดใส คือคู่พี่น้องที่อายุต่างกันมาก หรือเป็นแม่ลูกจริงๆกันแน่ เวลานี้คงจะไม่มีใครกล้าตัดสินใจออกมา
ประเด็นคือทั้งสองหน้าตาดีมากทั้งคู่
เสิ่นอีเวยยกมือขึ้นมาจับแว่นกันแดดเอาไว้ ก้มศีรษะมาหาเด็กน้อย ใบหน้าสดใสปรากฏรอยยิ้มน่าหลงใหลแล้วตอบว่า: “ซื้อครบแล้วค่ะ กลับบ้านกันได้แล้วค่ะ”
เด็กน้อยตาเป็นประกาย พูดด้วยความดีใจว่า”ดีจัง คุณเสิ่นเก่งมากเลย”
“อีเวย เหมียนเหมียนน้อย” อยู่ๆก็มีเสียงดังกังวานขึ้นจากด้านหลังจาก
เสียงนี้ เสิ่นอีเวยได้ยินจนคุ้นหู จึงพอจะเดาได้ว่าใครเรียกชื่อพวกเธอสองคน
หันกลับไปก็พบกับใบหน้าเล็กสวยคมที่คุ้นตา : “โม่เยน”
เสิ่นอีเวยยิ้มแล้วเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่าย
สี่ปีก่อนที่เสิ่นอีเวยเดินทางมาที่อังกฤษ ก่อนที่หล่อนจะไปได้ส่งจดหมายให้หลินโม่เยนหนึ่งฉบับ ในจดหมายเขียนถึงสาเหตุที่หล่อนต้องเดินทางไปต่างประเทศไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นเรื่องราวรายละเอียดต่างของเสิ่นอีเวยหลินโม่เหยียนจึงรู้เรื่องราวทั้งหมด